"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
การดูแลน้ำระบายความร้อน เพียงตรวจโดยการเปิดฝาหม้อน้ำออกถ้าพบว่าน้ำพร่องน้อยลงไปก็ใช้น้ำสะอาดเติมลงไปให้เต็ม ถ้ามีขวดพลาสติกที่เก็บน้ำอยู่และมีท่อเล็กๆ ต่อไปถึงหม้อน้ำ ก็ไม่ต้องเปิดฝาหม้อน้ำค่ะ ให้ดูระดับน้ำที่ขวดเก็บน้ำสำรองแทน เพราะเรื่องนี้ก็ละเลยไม่ได้ค่ะ อาจส่งผลให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วได้นะคะ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

หากไม่อยาก ซ่อมรถ บ่อยๆ ให้หมั่นเช็คสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ
ยางรถยนต์
ยางรถยนต์คือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้รถวิ่งไปได้ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นตรวจสอบยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ รวมถึงยางอะไหล่ว่าอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานหรือไม่ มีลมยางของล้อไหนอ่อนกว่าเส้นอื่นๆ ไหม หากพบเจอว่ามีการผิดปกติเกิดขึ้น ให้เราพยายามมองหาร่องรอบของรูรั่ว รอยบาดต่างๆ รอยแตกในยาง หากพบว่ามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นให้เรารีบนำรถเข้าอู่เพื่อซ่อมแซมให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง
น้ำมันเครื่อง
เราไม่ควรปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้งอย่างเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นเครื่องยนต์ของรถเราได้พังแน่ๆ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นตรวจสอบในส่วนนี้ด้วย โดยวิธีการตรวจสอบก็คือ ให้เราดึงก้านน้ำมันเครื่องออกมาในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน จนถึงอุณหภูมิปกติแล้วดับสักครู่ (1-5นาที) ต่อมาให้เราเช็ดทำความสะอาดตรงส่วนปลายของก้านที่มีน้ำมันเครื่องติดออกมาด้วย  เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วให้เราทำการใส่กลับเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงดังออกมาวัดระดับดูว่ามีน้ำมันเครื่องเหลือปริมาณเท่าใด โดยให้เราดูจากวัดระดับ ซึ่งเราควรจะให้ระดับน้ำมันเครื่องอยู่ในจุด F หรือ FULL จึงจะเป็นการดีที่สุดครับ
ผ้าเบรค
ผ้าเบรกก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่เราควรใส่ใจเพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการขับขี่ของเรา โดยวิธีการตรวจสอบก็เช่น ฟังเสียงรถขณะเบรครถ ว่ามีเสียงเหล็กเสียดสีกันหรือไม่ หากว่ามีแสดงว่าผ้าเบรคของรถเราอาจจะหมดแล้ว เป็นต้น นอกจากวิธีที่เรากล่าวมานี้ยังมีอีกหลายวิธีที่จะสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง แนะนำว่าหากเรารู้สึกไม่มั่นใจว่าผ้าเบรครถเรามีปัญหาหรือเปล่าก็ลองเอารถเข้าอู่แล้วปรึกษาช่างดูจะดีกว่าครับ เพราะหากเปรียบเทียบราคาค่าผ้าเบรคกับความปลอดภัยของเราแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากๆ ครับ
น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ
การที่เราจะเช็คน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำแนะนำว่าควรเช็คในช่วงเช้า ก่อนที่เราจะสตาร์ทเครื่องยนต์ จะเป็นการดีที่สุด หรือหากไม่สะดวกช่วงเช้าก็อาจจะเช็คในช่วงอื่นๆ ที่เครื่องยนต์ไม่มีความร้อนก็ได้เช่นกัน ส่วนวิธีการตรวจเช็คก็คือ ให้เราเปิดฝาหม้อน้ำ หรือถังพักน้ำสำรองออกดู ให้เราดูสี ดูภาพ ของน้ำว่าสัยังดูดีเหมือนตอนแรกอยู่หรือไม่ ระดับน้ำลดลงไปมากขนาดไหน หากว่าระดับน้ำลดลงไปมาก ก็ให้เราเติมด้วยน้ำยาหล่อเย็น เพราะน้ำมันหล่อเย็นจะช่วยป้องกันหม้อน้ำได้ดีที่สุด
แต่หากเกิดเหตุฉุกเฉินจนไม่สามารถหาน้ำยาหล่อเย็นได้ ก็สามารถใช้น้ำเปล่าแทนได้ แต่แนะนำว่าควรใช้วิธีนี้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น รวมถึงถ้าสภาพสีของน้ำในตอนที่ตรวจเช็คดูไม่ดี มีสีของสนิมอยู่มาก ก็ให้รีบเปลี่ยนทันทีเช่นกันครับ
สัญญาณไฟ
สัญญาณไฟก็ถือว่าสำคัญ เพราะว่าเมื่อเราขับขี่รถยนต์นั้น การให้สัญญาณไฟต่างๆ ก็จะเป็นการสื่อสารกับรถคันอื่นๆ ทราบว่าเรานั้นจะทำอะไร เช่น เปิดไฟสัญญาณซ้าย เพื่อสื่อสารว่าเรานั้นต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย เป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรดูแลไฟต่างๆ ในรถให้อยู่สภาพดีเสมอ ทั้ง ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟถอยหลัง ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ หากพบว่ามีไฟส่วนไหนเสียหายหรือไม่สามารถใช้งานได้ ก็ให้เรารีบเปลี่ยนใหม่โดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ลมยางรถยนต์ควรเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด?

การเติมลมยางรถเก๋งทั่วไป ควรเติมเท่าไหรจึงจะเหมาะสมที่สุด?

ลมยางรถยนต์เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด เพราะแรงดันลมยางที่อ่อนหรือแข็ง ส่งผลต่อสมรรถนะการขับขี่อย่างรู้สึกได้ และยังมีผลต่อความปลอดภัยขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงอีกด้วย

แรงดันลมยางที่เหมาะสมสำหรับรถเก๋งทั่วไป ล้อหน้าและล้อหลังควรมีแรงดันลมยางอยู่ที่ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับการใช้งานปกติ แต่หากต้องบรรทุกผู้โดยสารเต็มอัตรา 5 ที่นั่ง พร้อมสัมภาระท้ายรถ ควรเพิ่มแรงดันล้อหน้าเป็น 33-35 PSI และล้อหลังควรเพิ่มเป็น 37-39 PSI เพื่อรับกับน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้นมา

ส่วนรถกระบะควรเติมลมยางมากกว่ารถเก๋งปกติ โดยหากไม่มีสิ่งของบรรทุกควรมีแรงดันอยู่ที่ 36-38 PSI และล้อหลังอยู่ที่ 40-42 PSI หากมีน้ำหนักบรรทุกด้านท้ายควรเพิ่มลมยางล้อหลังขึ้นเป็น 49-51 PSI เพื่อป้องกันรถยางระเบิดหากขับขี่ด้วยความเร็วสูง

ทั้งนี้ หากเติมลมยางมากจนเกินพอดี จะลดประสิทธิภาพการเกาะถนนของยาง และทำให้ช่วงล่างแข็งกระด้างมากขึ้น แต่หากเติมลมยางน้อยเกินไป หรือปล่อยให้ยางอ่อน จะเสี่ยงต่อยางระเบิดขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ครับ

ทางที่ดีควรหมั่นเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และสังเกตอาการรั่วซึมอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

สนใจรีไฟแนนซ์ สอบถามได้ครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

สินเชื่อรถยนต์ รถไม่ต้องจอด เงินก็มีใช้ สบายๆ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

การขับรถตกหลุมบ่อยๆ ก่อให้เกิดผลเสียกับตัวรถอย่างไรบ้าง?

คนใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่คงทราบดีว่า ถนนในบ้านเรามักมีสภาพไม่ค่อยดีนัก เพราะต้องเจอทั้งหลุมบ่อ ฝาท่อที่ไม่เรียบกับพื้นถนน รวมถึงพื้นผิวถนนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งล้วนแต่บั่นทอนอายุการใช้งานของช่วงล่างให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เราไปดูกันว่าหากขับรถตกหลุมเหล่านี้บ่อยๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวรถอย่างไรบ้าง

1.ช่วงล่างเสื่อมสภาพไว

      ช่วงล่างเป็นชิ้นส่วนที่รองรับแรงสะเทือนจากล้อโดยตรง แม้ว่ารถแต่ละคันจะถูกออกแบบมาให้ช่วงล่างมีความทนทานสูงอยู่แล้ว แต่หากขับตกหลุมอยู่บ่อยๆ ก็จะมีผลให้ช่วงล่างเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติได้ ซึ่งชิ้นส่วนที่มักได้รับผลกระทบ เช่น

     - ลูกหมากเริ่มหลวมตัว ทำให้มีอาการโยกคลอน เมื่อขับผ่านถนนขรุขระ จะได้ยินเสียง "กุกๆ" มาจากช่วงล่าง
     - โช้คอัพเสื่อมไว อาจมีน้ำมันรั่วซึมออกมาจากกระบอกโช้คอัพ เป็นอาการที่แสดงว่าโช้คอัพเสื่อมแล้ว บางคันอาจพบอาการยางรองโช้คแตก ทำให้มีเสียงกุกกักขณะเบรกหรือออกตัว

2.ล้อและยางเสียหาย

      หากตกหลุมอย่างรุนแรง อาจทำให้ล้อแม็กคด เมื่อขับด้วยความเร็วสูงจะทำให้รถมีอาการสั่น บางคันอาจพบอาการยางบวม ปริ ซึ่งเป็นอันตรายหากขับขี่ด้วยความเร็วสูง

3.ทำให้รถมีเสียงดังรอบคัน

      การขับรถตกหลุมบ่อยๆ นอกจากจะทำให้ช่วงล่างเสียหายแล้ว ยังส่งผลต่อโครงสร้างความแข็งแรงของตัวถังได้ เนื่องจากจุดยึดต่างๆ มีการบิดตัวได้มากขึ้น ส่งผลให้เมื่อขับรถตกหลุม จะมีอาการสะเทือนไปทั้งคัน พร้อมทั้งมีเสียงดังน่าคำราญ

      เมื่อรู้แบบนี้แล้ว หากจำเป็นต้องขับรถผ่านถนนขรุขระ ก็ควรชะลอความเร็วให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ก่อนขับรถดื่มแอลกอฮอล์ได้แค่ไหน จึงจะไม่โดนจับ?

ตามกฎหมายได้ระบุปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไว้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากเกินกว่านั้นจะถือว่าเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ รวมถึงพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตเลยทีเดียว

     ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า แล้วปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เนี่ย สามารถดื่มได้ขนาดไหน ซึ่งคุณสามารถจำง่ายๆ ดังนี้

     1.สุรา ประมาณ 90 ซีซี ไม่ผสม หรือผสมในปริมาณ 1 ฝาต่อแก้ว จำนวนไม่เกิน 6 แก้ว หรือ

     2.เบียร์ ประมาณ 2 กระป๋อง หรือ 2 ขวดเล็ก หรือ

     3.เบียร์ไลท์ ประมาณ 4 ประป๋อง หรือ 4 ขวดเล็ก หรือ

     4.ไวน์ ปริมาณต่อแก้ว 80 ซีซี ไม่เกิน 2 แก้ว

     ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์เหล่านี้ หากขับรถภาย 1 ชั่วโมงหลังจากดื่ม ปริมาณแอลกอฮอล์จะไม่อยู่ในระดับที่เกินกฎหมายกำหนด แต่ทางที่ดีควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อยประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก่อนขับรถ พร้อมทั้งดื่มน้ำในปริมาณมากๆ เพื่อให้แอลกอฮอล์ถูกขับถ่ายมาทางปัสสาวะ อีกทั้งไม่ควรดื่มเครื่องดื่มหลายชนิดผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดความสับสนจนทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนดได้

     แต่ถ้ามีทางเลือกอื่น เช่น กลับแท็กซี่, ให้เพื่อน (ที่ไม่ดื่ม) ขับรถแทน ฯลฯ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากโขครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เคล็ดลับพ่วงสายแบตอย่างไรไม่ให้ไฟช็อต!

ปัญหาแบตเตอรี่หมดบางครั้งไม่ใช่เพราะแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วเท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะเผลอลืมเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งเอาไว้ นานๆเข้าก็ทำให้แบตเตอรี่หมดได้เหมือนกัน

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตหมด?

     อาการแบตเตอรี่รถหมดนั้น สังเกตได้จาก 1.ระบบเซ็นทรัลล็อกไม่ทำงาน หรือทำงานช้ากว่าปกติ 2.เมื่อบิดกุญแจ (หรือกดปุ่มสตาร์ท) ไปที่ตำแหน่ง ON พบว่าไฟหน้าปัดหรี่กว่าปกติหรือไม่ติดเลย 3.เมื่อบิดสตาร์ทพบว่ามีเสียงดังแชะถี่ๆ ออกมาจากห้องเครื่อง ไม่เหมือนกับเสียงสตาร์ทปกติ หรืออาจไม่มีเสียงใดๆเลย

     หากคุณเจออาการเหล่านี้ ฟันธงได้เลยว่า รถคุณจำเป็นต้องพ่วงแบตฯแน่นอนครับ



วิธีการพ่วงแบตเตอรี่มีดังนี้

     1.ก่อนอื่นเราจะต้องมีสายพ่วงแบตเสียก่อน หากซื้อเป็นอุปกรณ์ติดรถเอาไว้ก็ดี แม้ไม่ได้ใช้งานเอง แต่ก็อาจเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมถนนอื่นๆได้ยามจำเป็น และแน่นอนว่าจะต้องมีรถที่ใช้งานได้อยู่ด้วย เพื่อพ่วงแบตฯให้กับรถคันที่สตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

     2.นำสายแดงหนีบด้านหนึ่งเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่คันที่แบตหมด แล้วจึงหนีบเข้ากับขั้วบวกของรถคันที่แบตดี

     3.นำสายดำหนีบด้านหนึ่งเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่คันที่แบตดี แล้วจึงหนีบเข้ากับขั้วลบของคันที่แบตหมด (หรือหนีบกับหัวน็อตที่อยู่ในห้องเครื่องก็ได้)

     4.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคันให้หมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ระบบแอร์, เครื่องเสียง ฯลฯ

     5.สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตดีทิ้งไว้ อาจเร่งเครื่องเล็กน้อยหากพ่วงกับรถที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า เพราะกระแสไฟมีการกระชากรุนแรง

     6.สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตหมดตามปกติ เมื่อติดแล้วให้เร่งเครื่องประมาณ 2,000-3,000 รอบต่อนาที เพื่อปั่นกระแสไฟให้มากขึ้น ทำเช่นนี้ประมาณ 1 นาที แล้วจึงถอดสายแบต



วิธีถอดสายพ่วงแบตที่ถูกต้อง

     ควรถอดสายพ่วงขั้วลบ (สีดำ) ของทั้งสองคันออกเสียก่อน แล้วจึงถอดสายขั้วบวก (สีแดง) จึงถือเป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนกระบวนการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

"ไฟตัดหมอก" จริงๆ แล้วควรเปิดเมื่อใด?

ไฟตัดหมอกถือว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งในรถยุโรปแบรนด์หรูส่วนใหญ่มาร่วม 30 ปีแล้ว ซึ่งมีทั้งที่ติดตั้งไว้ในชุดโคมไฟใหญ่ และแยกออกมาติดตั้งไว้บริเวณกันชน รวมถึงไฟตัดหมอกหลังที่มักอยู่ในชุดโคมเดียวกับไฟท้าย พร้อมสวิตช์ปิด-เปิดอยู่ภายในรถ

     ขณะที่รถจากฝั่งญี่ปุ่นนั้น 'ไฟตัดหมอก' ก็ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเกือบทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในปัจจุบันแล้วเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นไฟตัดหมอกด้านหน้า ขณะที่ไฟตัดหมอกหลังยังคงมีให้เป็นบางรุ่น บางยี่ห้อเท่านั้น

เมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก?

     โดยปกติแล้ว ไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จะมีการเปิดใช้ก็ต่อเมื่อสภาพอากาศภายนอกแย่จัด จนส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยเท่านั้น (หากฝนตกปอยๆ แบบใช้ที่ปัดน้ำฝนช้าๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดหรอกครับ) ให้สังเกตว่าหากเราไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายรถคันหน้าท่ามกลางสายฝนในระยะ 50-100 เมตร ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้แล้วครับ เมื่อทัศนวิสัยกลับมาเป็นปกติก็ให้รีบปิดไฟตัดหมอกโดยทันที



ขับรถทางไกลยามค่ำคืน เปิดไฟตัดหมอกหน้าทิ้งไว้ดีหรือไม่?

     จริงอยู่ที่ว่า เมื่อเปิดไฟตัดหมอกคู่กับไฟหน้า จะทำให้ไฟหน้าดูสว่างขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะส่องได้ไกลขึ้นแต่อย่างใด แถมยังอาจรบกวนสายตาผู้ร่วมทางที่วิ่งสวนมาอีกต่างหาก ทางที่ดีผู้ที่ต้องขับขี่ทางไกลยามวิกาลบ่อยๆ การลงมือปรับตั้งไฟหน้าให้ส่องสว่างได้ไกลขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า (แต่ต้องไม่ปรับให้สูงจนแยงตารถคันที่สวนมาด้วยนะครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ยางเสื่อมสภาพได้ง่ายๆ หากจอดรถผิดวิธี

     บางคนซื้อรถยนต์มาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน และในทุกๆ วันก็นำมาใช้งานตลอด แต่บางคนอาจมีรถหลายคัน หรือมีไว้แต่ไม่ได้ใช้ เนื่องด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ ทำให้ต้องจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ

     ซึ่งการจอดรถทิ้งไว้แบบนี้ ต้องดูสถานที่จอดให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ ยางรถยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

     เนื่องจากการจอดรถยนต์ทิ้งไว้อยู่กับที่นานๆ ตัวรถ และน้ำหนักของรถทั้งหมดจะกดทับลงมาที่หน้ายางที่สัมผัสกับพื้น ด้วยเหตุนี้มันอาจทำให้ยางรถยนต์เกิดการเสียรูป และมันจะยิ่งเสียหายหนักขึ้น หากสถานที่จอดรถยนต์ของคุณไม่ใช่พื้นราบเรียบสม่ำเสมอกัน เช่น เนิน ลูกระนาด ฝาท่อ พื้นลาดเอียง ฯลฯ

     ดังนั้น เมื่อยางเสื่อมสภาพ ยางเสียรูป ไม่เป็นรูปวงกลมแล้ว ขณะวิ่งใช้งานรถยนต์ของคุณจะเกิดอาการสั่น มีเสียงดัง ฯลฯ



     สุดท้ายนี้ หากคุณไม่อยากให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ คุณต้องคอยไปขยับรถเพื่อเดินหน้า หรือถอยหลังบ้าง และอย่าจอดในพื้นที่ที่ไม่เท่ากัน นอกจากนี้หากจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้นานจริงๆ ให้เติมลมยางเผื่อไว้ประมาณ 5 - 10 ปอนด์จากปกติด้วยนะครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host