"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
กล้องติดรถคึก อ้อนรัฐกำหนด มีเป็นมาตรฐาน

กล้องติดหน้ารถยนต์คึก หนุนรัฐประกาศเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จับตาสินค้าจีนคุณภาพต่ำแข่งหั่นราคา

นายรวีโรจน์ องค์ศิริวัฒนา ประธานกรรมการบริหารบริษัท มีราจ คาร์ออดิโอ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเกี่ยวกับรถยนต์และผลิตภัณฑ์ความบันเทิงในรถยนต์ครบวงจร เปิดเผยว่า กระแสความนิยมของกล้องติดหน้ารถยนต์ได้รับการตอบรับดี ทำให้รายได้กลุ่มสินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิ กล้องติดหน้ารถยนต์ จีพีเอส ระบบกันขโมย มีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 10% ของรายได้บริษัท

“สินค้ากลุ่มนี้แรกเริ่มบริษัทนำมาเป็นสินค้าเสริมเพื่อความครบวงจร แต่จากการตอบรับดีรายได้จึงสำคัญขึ้น บริษัทจะพัฒนาการติดตั้งให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ” นายรวีโรจน์ กล่าว

น.ส.จันทร์นภา สายสมร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และฟิล์มกรองแสงอาคารลามิน่าและฟิล์มกลุ่มพิเศษลูม่าร์ กล่าวว่า บริษัทเห็นด้วยกับรัฐบาล หากมีการสนับสนุนให้กล้องติดหน้ารถยนต์และจีพีเอสเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถยนต์ทุกคันจะต้องมี เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวปัจจุบันเป็นที่นิยมและหลายครั้งหลายเหตุการณ์ถูกนำไปเป็นหลักฐานสำคัญประกอบการพิจารณาคดีจนทำให้เรื่องราวต่างๆ คลี่คลายด้วยข้อมูลความเป็นจริงจากกล้องหน้ารถยนต์

“จากกระแสดังกล่าว บริษัทจึงนำสินค้ามืออาชีพในเอเชียแปซิฟิกมาทำตลาด แต่การแข่งตลาดนี้จะรุนแรงสูงจากแข่งลดราคาผ่านการสั่งซื้อออนไลน์และสินค้าจากจีนมีบทบาทมาก” น.ส.จันทร์นภา กล่าว

ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดกล้องติดหน้ารถยนต์ผ่านช่องทาง อาทิ อี-คอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตเพลส พบว่าแข่งตัดราคารุนแรง

: http://www.posttoday.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถเสียระหว่างทาง ทำยังไงดี?

คงไม่มีใคร อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับตัวเองเมื่อต้องขับรถเดินทางไกล เพราะนอกจากจะเสียอารมณ์ในเรื่องของรถที่พัง และการเดินทางที่ไม่ราบรื่นแล้ว การเสียเงินซ่อม รวมไปถึงการเสียเวลารอรถซ่อมเสร็จ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าใดนัก

   ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นเพราะคุณไม่ค่อยตรวจเช็ก หรือดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ แต่บางครั้งมันก็อาจเกิดขึ้นได้แบบปัจจุบันทันด่วน แม้คุณจะดูแลรักษาดีแล้วก็ตาม และถึง แม้เหตุการณ์บางอย่างอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ถ้าหากเราเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเท่าไหร่ และหากมีความรู้ในเรื่องของรถยนต์บ้าง(เล็กน้อยก็ยังดี) ก็อาจทำให้รอดพ้น สถานการณ์นั้นๆ ไปได้ แล้วจึงค่อยไปขอความช่วยเหลือ หรือนำรถไปเข้าอู่เพื่อตรวจเช็ก และซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม

   เอาเป็นว่ามาดูวิธีการรับมือเบื้องต้น เมื่อรถเสียกลางทางกันดีกว่า ว่ามีอะไรต้องเตรียมกันบ้าง

   1. สติ เป็นสิ่งที่ควรมีที่สุดยามที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เพราะหากขับขี่อยู่แล้วคุมสติไม่ได้ อาจเกิดอุบัติเหตุทันที หรือถ้าหากรถจอดเสียกลางทางแล้วมัวแต่สติแตก บางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจมองข้าม ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้นั่นเอง

   2. ยางอะไหล่ รถทุกคันต้องมีมาให้อยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนที่ถอดออกเพราะรู้สึกเกะกะ หนักรถ หรือขวางทางถังแก๊ส จึงเอาออก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สมควรเอาออกอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่ได้เดินทางไกลก็ตาม เพราะหากรถเกิดยางแตก ยางแบน ฯลฯ ระหว่างทางขึ้นมา มียางอะไหล่ไว้เปลี่ยน ก็ดีกว่าต้องจอดรอความช่วยเหลือ หรือบดยางเส้นนั้นไปจนถึงอู่ เผลอๆ บดมากๆ จนปะไม่ได้ ก็ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่ทั้งเส้น

   3. เครื่องมือประจำรถ ส่วนมากจะมาพร้อมกับยางอะไหล่ โดยจะมี แม่แรง ตัวขันแม่แรง ตัวขันน็อตล้อรถ ฯลฯ ซึ่งอุปกรณ์ในส่วนนี้ นอกจากจะนำมาใช้เปลี่ยนล้อได้แล้ว มันยังสามารถใช้ยกใต้ท้องรถ เพื่อตรวจดูตรวจสอบอาการผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยสาเหตุอื่นได้อีกด้วย

   4. อุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ เช่น ไฟฉาย สายพ่วงแบตเตอรี่ ป้ายไฟสัญญาณเตือน ตัวตัดเข็มขัด และที่ทุบกระจก ฯลฯ แม้จะดูว่าเยอะ แต่มีไว้ใช้ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี

   5. น้ำเปล่าขวดใหญ่ ดูแล้วเหมือนจะไม่สำคัญ แต่ถ้าหากรถเกิดความร้อนขึ้น (โอเวอร์ฮีท) คุณก็สามารถนำมันมาเติมแก้ขัด เพื่อขับรถไปเข้าอู่ที่ใกล้ที่สุดได้ แต่ควรจำไว้ด้วยว่า อย่าเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่มันยังร้อนอยู่ เพราะน้ำที่เหลืออยู่ภายในอาจพุ่งออกมาโดนร่างกายของคุณ ทำให้บาดเจ็บได้ ควรรออย่างน้อย 15 นาที แล้วจึงค่อยเปิดฝาหม้อน้ำออก



   6. อุปกรณ์ช่าง เช่น ไขควงปากแบน-แฉก คีม ประแจเบอร์ต่างๆ สายรัดเคเบิ้ลไทร์ น็อตตัวผู้ตัวเมีย และสกรูเบอร์ต่าง ฯลฯ บางครั้งคุณอาจจำเป็นต้องงัดแงะ แกะ ไข หรือขันในจุดต่างๆ เช่น ตกหลุมกันชนหลุด ก็อาจต้องใช้ไขควง ประแจ น็อต ขันมันกลับเข้าไปให้แน่น หรือถ้าหูกันชนฉีก ขาด ก็นำเคเบิ้ลไทร์มารัดแก้ขัดไปก่อน แล้วจึงค่อยนำไปซ่อมทีหลัง

   7. ท่อนเหล็ก หรือท่อนไม้ยาวๆ นำมาใช้ได้ในกรณีที่เพิ่งจอดรถแล้วเครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ พอกลับมาแล้วสตาร์ทไม่ติด และเช็กแล้วว่าแบตเตอรี่ยังดีอยู่ หรือเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ คุณสามารถนำมากระทุ้ง หรือเคาะเบาๆ ที่ไดร์สตาร์ทได้ เพราะไดร์สตาร์ทอาจเสื่อมแล้ว จึงทำให้สตาร์ทรถไม่ติด

   8. ลวด สามารถเอามาใช้ได้เมื่อท่อไอเสียรถยนต์เกิดขาดแล้วครูด หรือลากไปกับพื้นถนน ให้รีบจอดรถเข้าข้างทางเมื่อได้ยิน หรือรู้สึกตัว จากนั้นเอาลวดมาผูกมัดให้แน่น เพื่อใช้งานชั่วคราวไปก่อนจะไปหาอู่ซ่อม และอย่าใช้เชือกฟาง เคเบิ้ลไทร์ หรือเชือกที่ไม่ทนความร้อนมาผูก เพราะตัวท่อมีความร้อนสูง อาจทำให้เชือกที่นำมาผูกท่อขาด ทำให้ท่อหลุดร่วงลงมาที่พื้นอีกครั้ง
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ครม. มีมติยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์กทม.-บ้านฉาง และบางปะอิน-บางพลี ตั้งแต่ 29 ธ.ค.59 ถึง 4 ม.ค.60
วันนี้ (13 ธ.ค. 59) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 29 ธ.ค. 2559 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 ม.ค. 2560
โดยกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา) และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอนบางปะอิน-บางพลี) ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ.2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2555) ออกตามความใน พ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ.2497
http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=122388&t=news
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ซื้อรถยุคเศรษฐกิจซึมเศร้า ตรวจสุขภาพการเงินก่อนตัดสินใจ

ช่วงนี้หลายคนอาจจะวางแผนซื้อรถเอาไว้ แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เงินในกระเป๋าที่รับมาทุกๆ เดือน ก็ไม่รู้จะหดจะหายไปเมื่อไหร่ ส่วนเงินที่จะได้เพิ่มชั่วโมงนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ‘ยาก’ ภาวะความไม่เชื่อมั่นจึงเกิดตามมา แต่เอาล่ะ... ในเมื่อสถานการณ์

เป็นเช่นนี้แล้วยังคิดจะซื้อรถ ลองมาดูกันก่อนว่า มีข้อควรต้องพิจารณาอะไรกันบ้างที่จะมาประกอบการตัดสินใจว่าจะเข้าเกียร์เดินหน้า หรือใส่เกียร์ถอยไปตั้งหลักกันใหม่กันดี

ข้อแรก มองไปที่สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในระยะใกล้ๆ และใน 1 ปีข้างหน้า ต้องบอกเลยว่า เศรษฐกิจยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อช่วยผลักดันเศรษฐกิจ แต่ก็อาจจะทำได้แค่รักษาอาการไม่ให้มันทรุดลงไปเท่านั้น  เพราะรายได้หลักของประเทศที่มาจากการทำมาค้าขายกับต่างประเทศ นั่นก็คือการส่งออกอาการยังร่อแร่

ขณะที่การลงทุนของเอกชนก็ยังไม่เดินหน้า การใช้จ่ายภาคประชาชนก็น้อยนิดเต็มที่ จะหวังพึ่งภาคการท่องเที่ยวในเวลานี้อาจจะยังไม่เหมาะ ก็ได้แต่หวังกันว่า การลงทุนของภาครัฐที่มีแผนกันเป็นหลักแสนๆ ล้านบาท จะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ความเชื่อมั่นในด้านอื่นๆ ตามมา ยิ่งปีหน้าตามแผนจะมีการเลือกตั้งอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การทำมาค้าขายกับประเทศประชาธิปไตยน่าจะดีขึ้น ไม่ถูกบีบจนหน้าเขียวเหมือนที่ผ่านมา

รวมๆ แล้วในปีหน้าเรื่องเศรษฐกิจยังต้องลุ้นว่าจะไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน ไอ้ที่ว่าจะฟื้นตัวปุ๊บปั๊บเงินทองไหลมาเทมานั้นเลิกคิดไปได้ ดีที่สุดคือ โตช้าๆ อย่างเยือกเย็น ได้เท่านั้นก็ถือว่าบุญแล้วล่ะ คราวนี้มาดูที่ใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยนั่นก็คือ สถานะการเงินของเราภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้จะยังไหวมั้ย

พวกที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ลองอัพเดตสถานการณ์ของบริษัทดูสักหน่อย การทำมาค้าขายประกอบธุรกิจยังดีอยู่หรือไม่ แผนการปรับเงินเดือน จ่ายโบนัส ยังวางอยู่บนโต๊ะเจ้านายหรือถูกโยนลงถังขยะไปแล้ว ไปสืบมาดีๆ ซึ่งจริงๆ ก็ดูง่ายๆ จากผลการดำเนินการของบริษัท ถ้ามันไม่ดี เจ้านายที่ไหนจะใจดีให้ขึ้นเงินเดือนให้เยอะๆ หรือสั่งจ่ายโบนัสหนักๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้

ส่วนพวกอาชีพอิสระทำมาค้าขายอาจจะง่ายหน่อย เพราะเป็นเจ้านายตัวเองจับเงินอยู่ทุกวันย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า จะไปรอดมั้ยส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้ ถ้าไม่ใช่พวกมั่นสุดๆ หรือพวกเพ้อไปวันๆเขาค่อนข้างจะเจียมตัวระมัดระวังการจับจ่ายกันอยู่แล้ว บางทีแผนการซื้อรถใหม่ของพวกเขาอาจจะถูกฉีกทิ้งไปตั้งแต่สองสามปีที่แล้วก็เป็นได้ หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็คงไม่ดีกว่า


การตรวจสอบสถานการณ์การเงินทั้งภาคเศรษฐกิจโดยรวมและเศรษฐกิจส่วนบุคคล ย่อมทำให้เราตัดสินใจได้ว่า ควรหรือไม่ควรซื้อรถในเวลานี้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องซื้อควรจะซื้อแบบไหน เพื่อให้ปลอดภัยกับสถานะการเงินของตัวเองมากที่สุด ถึงตรงนี้ ก็พอจะตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า การจะซื้อรถในตอนนี้จำเป็นหรือไม่จำเป็น ยกเว้นพวกที่มีฐานะดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องคิดอะไรมาก จัดไปตามใจปรารถนาก็แล้วกัน.

หากมองว่า ยังมีเวลาที่จะดูหน้าดูหลังอีกสักนิดก็ให้ใส่เกียร์ถอยกลับไปตั้งหลักใหม่ ลองเอาสตางค์ที่จะผ่อนไปใส่กระปุกดู เก็บออมเพิ่มอีกนิดก็ไม่เห็นเสียหายอะไร เก็บไปเก็บมาเผลอๆอาจจะซื้อเงินสดได้เลยก็เป็นไปได้นะ ซึ่งการทดลองเก็บเงินตามจำนวนงวดที่จะต้องผ่อนจะทำให้เรารู้ตัวเองว่า ภาระที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเรารับกับมันได้หรือไม่ นอกจากนี้ การทดลองผ่อน (โดยการเก็บใส่กระปุก) ไปสักระยะ ก็จะทำให้เราได้เงินดาวน์รถที่เพิ่มขึ้นด้วย

http://www.posttoday.com/auto/news/468166
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ส่งออกรถต.ค.ร่วง7.23%

ยอดส่งออกรถยนต์ ต.ค.ทำได้แค่ 1.03 แสนคัน ลดลง 7.23% ทำ 10 เดือน ส่งออกได้แค่ 1 ล้านคัน ลดลง 1.25%

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า  ยอดส่งออกรถยนต์ในเดือน ต.ค. 2559 อยู่ที่ 1.03 แสนคัน ลดลง 7.23% เทีบบกับ ต.ค. 2558 มีมูลค่าส่งออก 5.39 หมื่นล้านบาท ลดลง 10.11% สาเหตุมาจากการส่งออกใน ตลาดสำคัญปรับตัวลดลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

ทั้งนี้ ส่งผลให้ยอดส่งออกรวม 10 เดือน ปี 2559 อยู่ที่ 1 ล้านคัน ลดลง 1.25% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

"การส่งออกรถยนต์ลดลงเป็นผล จากเศรษฐกิจคู่ค้าหลักที่นำเข้ารถจาก ไทยชะลอตัว โดยตลาดตะวันออกกลางและอเมริกาใต้มีสัดส่วนการส่งออกลดลงมาอยู่ที่ 2.2% จากเดิมที่เคยขึ้นไปถึง 5% ประกอบกับประเทศเหล่านี้เริ่มมี การลงทุนผลิตรถยนต์ในแอฟริกาเพื่อ ส่งออก ขณะที่ตลาดส่งออกอื่นๆเช่น เอเชียและออสเตรเลีย ก็มีปัญหาปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน" นาย สุรพงษ์ กล่าว

ขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ของไทย ในเดือน ต.ค. 2559 มีทั้งสิ้น 1.61 แสนคัน ลดลง 2.59% เทียบ ต.ค. 2558 ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์รวม 10 เดือนปีนี้ มีทั้งสิ้น 1.63 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 2.55% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนยอดจำหน่ายในประเทศ ต.ค.อยู่ที่ 6.51 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 13.52% ส่งผลให้ยอดผลิตจำหน่ายในประเทศ 10 เดือน อยู่ที่ 6.40 แสนคัน เพิ่มขึ้น 10.9%

http://www.posttoday.com/auto/news/466960
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กรมการขนส่งทางบก แนะนำ!!! การซื้อขายรถควรดำเนินการโอนทางทะเบียน พร้อมนำรถเข้าตรวจสอบความถูกต้องด้วยตนเอง ณ สำนักงานขนส่งที่จดทะเบียน ย้ำ!!! อย่าซื้อขายโดยวิธีการโอนลอย เสี่ยงอาจเป็นรถที่ได้มาด้วยวิธีไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วนำมาสวมซากสวมทะเบียนหลอกลวงประชาชน
.
นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัญหาการหลอกลวงประชาชนขายรถสวมซากสวมทะเบียน มักเกิดขึ้นกับการซื้อขายรถด้วยวิธีการโอนลอยที่ผู้ซื้อไม่นำรถไปดำเนินการตรวจสภาพรถและจดทะเบียนด้วยตนเองตามขั้นตอนของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างให้กลุ่มมิจฉาชีพนำรถโจรกรรมมาหลอกขาย โดยอาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะต่างๆ เช่น รถได้มาอย่างผิดกฎหมาย ตอกเลขตัวถัง เครื่องยนต์ใหม่ และทำคู่มือเอกสารการโอนปลอม หรือซื้อซากรถที่ใช้งานไม่ได้แล้วแต่ยังมีทะเบียนถูกต้อง เพื่อนำรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน มาสวมทะเบียนแทน โดยทำการเปลี่ยนแปลงขึ้นใหม่ทั้งเลขตัวถังและเลขคัสซีให้ตรงกับเอกสาร ส่วนอีกวิธีคือสวมทะเบียนเฉพาะป้าย โดยจะปลอมป้ายทะเบียน เครื่องหมายเสียการเสียภาษี รวมทั้งปลอมคู่มือประจำรถ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารราชการปลอม ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ปรับสูงสุด 10,000 บาท และกรมการขนส่งทางบกจะเพิกถอนการจดทะเบียนรถทันที นอกจากนี้ ยังอาจมีความผิดตามมาตรา 11 ประกอบมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ที่กำหนดให้รถทุกคันต้องมีและติดแผ่นป้ายทะเบียนและเครื่องหมายการเสียภาษีที่ทางราชการออกให้เท่านั้น ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
.
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงนำรถผิดกฎหมายมาโอนขาย กรมการขนส่งทางบกแนะนำให้ผู้ซื้อตรวจสอบแหล่งที่มาของรถก่อนตัดสินใจ ตรวจสอบเลขตัวถังและเลขเครื่องยนต์ตรงกับเอกสารหรือไม่ รวมทั้งป้ายวงกลมและป้ายทะเบียนติดหน้าหลังรถตรงกันหรือไม่ ตรวจสอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ตรวจสอบลำดับครอบครองต้องไล่เรียงกัน หากมีการแจ้งหายทำเล่มใหม่ มีประวัติแจ้งย้ายหลายจังหวัด ให้เพิ่มความระมัดระวัง ทั้งนี้ การซื้อรถควรซื้อต่อจากคนรู้จักที่ไว้วางใจได้ หรือถ้าเป็นเต้นท์รถมือสอง ควรตรวจสอบหลักฐานทะเบียนรถจากเจ้าของรถหรือผู้ขายมาขอตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกับสำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขา และเพื่อเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นสามารถนำรถเข้ามาตรวจสอบความถูกต้อง ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขาที่รถนั้นจดทะเบียน โดยกรมการขนส่งทางบกได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เข้มงวดกวดขันการตรวจสภาพรถตามรายการที่กำหนดทุกคัน เพื่อป้องกันไม่ให้รถผิดกฎหมายดำเนินการทางทะเบียนได้โดยเด็ดขาด ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะมีการระงับการดำเนินการทางทะเบียนที่ไม่ถูกต้องทันที และหากประชาชนพบเห็นรถต้องสงสัยสามารถแจ้งข้อมูลมายังกรมการขนส่งทางบก หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
----------------------------------
https://m.facebook.com/PR.DLT.NE ... 51791061313/?type=3
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เผยยอดรถในไทยปี59พุ่งทะลุ37ล้านคัน

กรมการขนส่งทางบกเผยยอดรถในไทยพุ่ง 37 ล้านคัน โดยเฉพาะปี 2559 มีผู้จดทะเบียนทั่วประเทศ 2,456,686 คัน   

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2559 มีผู้นำรถใหม่ (ป้ายแดง) เข้าจดทะเบียนทั่วประเทศ   2,456,686 คัน เฉลี่ยเดือนละกว่า 240,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน 100,949 คัน โดยรถจักรยานยนต์มากสุด
อยู่ที่ 1,620,901 คัน เพิ่มขึ้น 84,281 คัน รองลงมาคือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน อยู่ที่ 490,124 คัน เพิ่มขึ้น 35,854 คัน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถปิกอัพ) อยู่ที่ 212,281 คัน ลดลง 3,631 คัน  

อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้จำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั่วประเทศ มียอดรถรวมทั้งสิ้น 37,268,655 คัน ประกอบด้วยรถจักรยานยนต์ 20,289,721 คัน รถยนต์ 8,146,250 คัน รถปิกอัพ 6,259,806 คัน รถบรรทุก 1,049,749 คัน และรถโดยสาร 156,089 คัน

http://www.posttoday.com/auto/news/465208
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มฟื้นตัว
ส.อ.ท.ชี้อุตสาหกรรมรถยนต์เดือน ก.ย.ฟื้นตัว รอลุ้นยอดขายแตะ 7.8 แสนคัน ด้านส่งออกเพิ่มขึ้นในรอบ 12 เดือน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือน ก.ย. 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.73 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.92% โดยเป็นการผลิตรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 48.24% ที่จำนวน 3.16 หมื่นคัน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2.13 หมื่นคัน และเป็นการผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 11.88% โดยมียอดการผลิตที่ 2.84 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ผลิต 2.54 หมื่นคัน เพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มีทั้งสิ้น 1.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 3.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดการผลิต 1.43 แสนคัน
ทั้งนี้ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ก.ย. 2559 มีจำนวน 6.35 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 2.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถกระบะ เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นทำให้ประชาชนมีรายได้ และการแนะนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ ก่อนหน้านี้
สำหรับยอดผลิตรถยนต์ล่าสุดเดือน ก.ย.ที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี และหากยอดผลิตคงอัตราการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ไปจนถึงสิ้นปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ทั้งปีมีโอกาสที่อาจจะทำได้ถึง 7.8 แสนคัน มากกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดการณ์ไว้ 7.5 แสนคัน
ขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ก.ย. 2559 ส่งออกได้ 1.12 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.91% โดยคิดเป็นมูลค่าส่งออก5.87 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือน ก.ย. 2558 ที่มีมูลค่า 5.35 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 8.95%
ด้านการส่งออกที่ลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ส่งผลให้การส่งออกรถกระบะดับเบิ้ลแค็บที่มีมูลค่าสูงกว่ารถอีโคคาร์ลดลง สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกที่เติบโตลดลงจากการประมาณการตอนต้นปีของหลายองค์กรระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 9 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.51% มีมูลค่าส่งออก 4.8 แสนล้านบาทซึ่งปีนี้ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวส่งผลให้มียอดคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกรถยนต์ที่เชื่อว่าจะส่งออกได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 1.22-1.25 ล้านคัน ส่วนยอดขายรถยนต์ทั้งปีจะอยู่ที่ 1.97-2 ล้านคัน
http://www.posttoday.com/auto/news/461121
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

5 เทคนิคเด็ดขับ 'เกียร์ออโต้' ในเมืองให้ประหยัด

รถยนต์สมัยใหม่ถูกติดตั้งเทคโนโลยีมากมายเพื่อให้ประหยัดน้ำมันขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีความจุลดลงแล้วพ่วงเทอร์โบเข้าไป หรือระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อที่ช่วยให้ขับรถได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น แต่หากผู้ขับขี่ยังคงใจร้อน ขับรถเร็ว ก็ยากที่รถของคุณจะประหยัดน้ำมันได้

      จึงขอแนะนำ 5 เทคนิคพิชิตจราจรในเมืองให้ประหยัดน้ำมัน.. ทำอย่างไร?



1.ติดไฟแดงปลดเกียร์ N

     จริงอยู่ที่การสลับเกียร์ระหว่าง D และ N บ่อยๆ จะทำให้เกียร์เกิดความสึกหรอมากขึ้น แต่ให้ลองประเมินดูว่าถ้าต้องหยุดรถนานกว่า 1 นาทีขึ้นไป ก็สลับมาเกียร์ N ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันลงได้ราว 20-30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

2.มี Start/Stop ใช้ให้คุ้ม

     รถคันไหนที่ติดตั้งระบบ Start/Stop ที่ช่วยดับเครื่องยนต์ให้อัตโนมัติขณะเหยียบเบรกค้างไว้ ถ้าสภาพการจราจรเอื้ออำนวยพอก็เปิดใช้งานไปเถอะครับ ช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นแน่นอน แต่หากจังหวะที่ต้องเคลื่อนที่สลับหยุดนิ่งบ่อยๆ หรือกำลังหาที่จอดรถ การปิดระบบไว้ก็จะช่วยยืดอายุไดสตาร์ทได้เหมือนกัน

3.ปล่อยไหลเข้าไฟแดง

     คนส่วนใหญ่จะใช้วิธีเลี้ยงความเร็วมาเรื่อยๆ แล้วกดเบรกเพื่อให้รถหยุดต่อท้ายคันหน้าพอดี คราวนี้ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีปล่อยคันเร่งเพื่อให้รถไหลเข้าไฟแดงดูบ้าง ก็จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะอย่างไรก็ต้องไปจอดติดไฟแดงกับเขาอยู่แล้ว หากปล่อยคันเร่งเพื่อตัดการจ่ายน้ำมันให้เร็วขึ้น ก็จะช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นได้

4.ออกตัวให้ช้าลง

     หากถนนเส้นไหนที่รถวิ่งไม่เร็วนัก ให้ลองออกตัวช้าๆดูบ้าง โดยประคองไม่ให้รอบเครื่องยนต์เกิน 2,500 รอบต่อนาที ก็จะช่วยลดการจ่ายน้ำมันได้ เพราะจังหวะออกตัวจากจุดหยุดนิ่งเป็นช่วงที่รถกินน้ำมันมากที่สุด

5.รักษาความเร็วให้คงที่

     หากสามารถใช้ความเร็วได้ ควรเลี้ยงความเร็วให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ ไม่เร่งหรือชะลอโดยไม่จำเป็น ก็จะช่วยลดการบริโภคน้ำมันลงได้เช่นกัน

     ลองมาเริ่มต้นเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่เสียแต่วันนี้ ฝึกให้กลายเป็นนิสัย รับรองว่าจ่ายค่าน้ำมันถูกลงกว่าเดิมแน่นอนครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

แนะรัฐหนุนผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า
นักวิชาการแนะรัฐหนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าดีกว่าเป็นผู้เล่นในตลาดเอง
นายวิพุธ อ่องสกุล คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนด้านนโยบายให้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นในประเทศไทยของรัฐบาล ในฐานะนักวิชาการมองว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมากกว่าการที่รัฐบาลลงสู่ตลาดในฐานะผู้เล่นเอง ซึ่งควรจะมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยปัจจุบันนโยบายรัฐยังไม่เอื้อประโยชน์ให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ จึงเห็นแต่ผู้เล่นรายเก่าเป็นส่วนมาก
นอกจากนี้ หากต้องการให้เกิดการข้ามผ่าน (ทรานส์เฟอร์) ของเทคโนโลยีจะต้องไม่นำกฎเกณฑ์ของเทคโนโลยีเดิมมากำหนดเทคโนโลยีใหม่ทั้งสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน เพราะการสนับสนุนให้เกิดการทรานส์เฟอร์เทคโนโลยีได้จะต้องจูงใจนักลงทุนที่ต้องการมาตรฐานความเป็นสากลในทุกด้าน เช่น การกำหนดมาตรฐานหัวปลั๊กชาร์จไฟฟ้าของรถยนต์
“โจทย์สำคัญด้านการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีคือ การที่ผู้ผลิตปรับเทคโนโลยีให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นที่มาของตลาดที่มีการขยายตัวและส่งผลต่อการที่บริษัทต่างๆ เล็งเห็นตามมา”นายวิพุธ กล่าว
สำหรับกรณีที่รัฐบาลได้ประกาศแผนประเทศไทย 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม โดยต้องการเน้นส่งเสริมใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ ได้แก่ รถยนต์นั่งไฟฟ้า รถยนต์นั่งไฟฟ้าขนาดเล็กและรถโดยสารไฟฟ้า และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มดำเนินการนั้น คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกได้มากกว่า 80% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
ขณะเดียวกัน จะสร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้น 20% และในด้านอื่นๆ อีกมาก จึงอยากเสนอให้รัฐบาลและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยการเปิดกว้างต่อนโยบายด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้อีกไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาทในอนาคต
นายวิพุธ กล่าวว่า การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industries 4.0) จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่นานาประเทศต้องตื่นตัวเช่นเดียวกันประเทศไทย โดยคณะบริหารธุรกิจ ร่วมกับสมาคมศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จะมีการจัดสัมมนาวิชาการ NIDA Business School Alumni Seminar 2016 หัวข้อ “Biz Talk สร้างโอกาสและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Thailand 4.0” ในวันที่ 27 ต.ค. 2559.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/461659
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host