"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
รู้ได้ไงว่ายางหมดสภาพ !
เคยสังเกตุกันไหมว่า อายุใช้งานยางมักจะ “สั้นลง” เรื่อยๆ ตามคำแนะนำของเจ้าของร้านยาง ชาสง ผู้จัดการ หรือเจ้าของอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการ ที่ล้วนมีผลประโยชน์โดยตรงต่อการขายยางใหม่ แล้วความจริงคืออะไร มีสิ่งใดบ้างที่บอกว่ายาง “หมดสภาพ” แล้ว
1. ความลึกของดอกยาง
ความลึกของดอกยางมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยเมื่อขับบนถนนเปียก เพราะต้องช่วยรีดน้ำ เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้ดี ค่าที่เหมาะสมทางเทคนิค คือ ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร (ความลึกของดอกยางใหม่เอี่ยมประมาณ 8 ถึง 9 มิลลิเมตร)
2. โครงสร้างยางชำรุด
สิ่งที่กำหนดว่ายางหมดอายุที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็คือความชำรุดที่ส่งผลถึงโครงสร้างของยาง เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างแรงจนขอบกระทะล้อชำรุด ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างของหน้ายางและโดยเฉพาะแก้มยางต้องบอบช้ำมากแน่นอน หรือถูก “บด” จากการขับโดยไม่มีลมยางระยะทางไกล ก็ไม่สามารถใช้ต่อได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไปครับ
3. อายุของยาง
ไม่เกิน 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต (ดูที่ตัวเลขด้านข้างของยาง เช่น 1016 หมายถึง สัปดาห์ที่ 10 ปี2016) ระยะเวลานี้ไม่ถือว่านานมากสำหรับยางที่มีคุณภาพสูงพอ ใครที่บอกว่าไม่จริง เพราะเคยเจออายุแค่ 4 ปี ก็เสื่อมแล้ว แสดงว่ายางที่คุณใช้ คุณภาพยังไม่ได้มาตรฐาน
ถ้ายางคุณยังไม่เข้าข่ายหมดสภาพ ก็ไม่ต้องไปกังวลว่าจะใช้มากี่หมื่นกิโลเมตแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ยางของคุณมีอายุเกือบ 4 ปี ใช้ไปแล้วเกือน 5 หมื่นกิโลเมตร แต่ยังเหลือดอกยางเกือบ 5 มิลลิเมตร เพราะศูนย์ล้อของรถคุณถูกต้อง ยางจึงสึกช้า ก็ไม่ต้องรีบเปลี่ยนใหม่ให้เปลืองเงิน ใช้ต่อไปได้ จนกว่าหัวข้อใดจะบ่งชี้ว่าหมดสภาพการใช้งาน
------------------------------
คอลัมน์ Online : MR. MOTOR EXPO & ลุงพิทักษ์
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถเอียง ซ้าย-ขวา เกิดจากอะไรบ้าง?

เมื่อรถของคุณถูกใช้งานมาสักระยะหนึ่ง อาจเกิดการผิดปกติในระบบบังคับเลี้ยวได้ ซึ่งการใช้งานรถในลักษณะต่างๆ ทำให้อุปกรณ์ชิ้นส่วนบางตัวเกิดความเสียหาย ไม่ได้มาตรฐานจากของเดิมที่ออกจากโรงงาน แล้วอาการไหนบ้างที่ทำให้รถเราเสียศูนย์ ก่อนไปศูนย์ซ่อมเราลองสังเกตเบื้องต้นได้ดังนี้

     อะไรบ้าง? ที่ทำให้รถคุณผิดปกติ

1. ดัดแปลงสภาพช่วงล่างให้ต่างไปจากค่ามาตรฐานที่กำหนดมาจากโรงงาน
2. รถเกิดอุบัติเหตุชนหนักมาก่อน ทำให้ช่วงล่างเสียศูนย์
3. พวงมาลัยรถขับแล้วรู้สึกไม่แน่นเหมือนเดิม
4. รัศมีของวงเลี้ยวรถมีรัศมีที่ไม่เท่ากันทั้งซ้าย-ขวา
5. ยางรถสึกผิดปกติกินหน้ายางไม่เท่ากัน สังเกตดูได้จากดอกยาง
6. ระบบกันสะเทือนช่วงล่างเสื่อมหรือสึกหรอจากการใช้งาน เช่น ลูกหมากแร็ค ลูกหมากกันโคลง
7. เมื่อขับรถอยู่ในทางตรง แต่รถเกิดอาการเอียง ซ้าย-ขวา ทำให้ต้องขืนพวงมาลัย ดึงกลับมาให้ตรงตลอดเวลา

     หากรถคุณมีอาการดังที่กล่าวมาเบื้องต้น ควรรีบนำรถไปเช็กที่อู่หรือศูนย์บริการทันที เพื่อให้ช่างตรวจสภาพรถ หากเป็นไม่มากนักแก้ด้วยการตั้งศูนย์ถ่วงล้อก็หาย แต่ถ้าชิ้นส่วนรถยนต์ชำรุดเสียหายก็ควรซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ทันทีไม่เช่นนั้น หากปล่อยไว้ อาจเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ อย่าประมาทเลยเด็ดขาด

sanook.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ขับรถทางไกลควรเติมลมยาง 'อ่อน' หรือ 'แข็ง' ดีกว่ากัน..?

การขับรถทางไกลที่ใช้ระยะเวลานานๆ จำเป็นต้องอาศัยปริมาณแรงดันลมยางที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ยางระเบิด หรือยางสึกเร็วกว่าปกติ แล้วแบบนี้จะควรจะเติมลมยางให้อ่อนหรือแข็งกว่าปกติกันแน่?

     คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การขับรถทางไกลควรเติมลมยางให้อ่อนกว่าปกติ เนื่องจากการที่ล้อหมุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะเป็นการเพิ่มแรงดันลมยาง จึงควรลดแรงดันลมยางเพื่อป้องกันไม่ให้ยางระเบิด ซึ่งเป็นความคิดที่ 'ผิด' เนื่องจากลมยางที่อ่อน จะทำให้ยางเกิดความยืดหยุ่น ก่อให้เกิดการเสียดสีกับพื้นถนนมากกว่าปกติ อีกทั้งจะทำให้ยางมีลักษณะเป็นคลื่นเนื่องจากไม่สามารถคงตัวเป็นรูปวงกลมได้ นานๆเข้าจะทำให้เกิดความร้อนสะสม หากตกหลุมแรงๆ ยังมีโอกาสเสี่ยงยางระเบิดมากกว่าปกติด้วย

ดังนั้น การขับรถเดินทางไกลควรเพิ่มแรงดันลมยางเข้าไปให้มากกว่าที่ผู้ผลิตแนะนำเล็กน้อยประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) หากรถรุ่นนั้นแนะนำให้เติมลมยาง 32 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ก็ควรเพิ่มเป็น 34-35 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก่อนเดินทาง จะยางสามารถคงรูปขณะหมุนได้ดี ลดการเสียดสีกับพื้นถนน ไม่ระเบิดง่าย แม้ว่าจะทำให้รถกระด้างขึ้นสักเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเพิ่มความประหยัดน้ำมันไปในตัวอีกด้วย

นอกจากนั้น หากมีผู้โดยสารไปด้วยเต็มคันหรือต้องบรรทุกสัมภาระจำนวนมาก ก็ควรเพิ่มแรงดันลมยางล้อคู่หลังมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน โดยดูจากสติกเกอร์แนะนำแรงดันลมยางที่ติดไว้บริเวณเสาข้างผู้ขับขี่หรือที่ระบุไว้ในคู่มือ เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากด้านท้ายจะถูกถ่ายเทไปยังล้อคู่หลัง ทำให้เกิดการยืดหยุ่นของยางได้มากขึ้น จึงควรเพิ่มแรงดันลมให้เหมาะสมก่อนเดินทาง

ต่อไปนี้อย่าลืมนะครับ ก่อนออกเดินทางไกล ควรแวะเติมลมยางให้แข็งขึ้นอีกนิด จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นครับ

sanook.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กรองเดิมกับกรองเปลือย ต่างกันยังไง?

สมรรถนะของรถยนต์ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง ที่หลายๆ คนให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ และบางคนถึงขั้นทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้สมรรถนะที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ไล่ไปตั้งแต่การปรับแต่ง เปลี่ยนนู่นนี่นั่น เช่น เปลี่ยนท่อ ใส่เทอร์โบว์ ใส่กล่องแต่ง ลดน้ำหนักบอดี้ ฯลฯ และสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ กรองอากาศ

     กรองเดิมส่วนใหญ่ที่ติดออกมาจากผู้ผลิตรถยนต์ ส่วนมากจะเป็นกระดาษหลายๆ แผ่นซ้อนกันที่อยู่ในกล่องด้านในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งหน้าตาอาจแตกต่างกันไปแล้วแต่ยี่ห้อ ส่วนกรองเปลือยผลิต ขึ้นได้จากหลากหลายวัสดุ เช่น ผ้า สแตนเลส ฯลฯ นอกจากนี้มันยังโชว์ตัวอยู่ในห้องเครื่องเลย ไม่มีกล่องอะไรมาปิดกั้นเอาไว้ ส่วนรูปร่างหน้าตาก็มีให้เลือกหลายแบบ รวมไปถึงขนาด และสีสันด้วย

สำหรับความแตกต่างของกรองเดิมกับกรองเปลือย เราขอแยกออกมาเป็นข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้

     ข้อดี กรองเดิม
          1. ไม่ต้องปรับแต่งภายในห้องเครื่องยนต์ เพียงแค่ซื้อไส้กรองตัวใหม่มาก็สามารถเปลี่ยนได้เลย
          2. ราคามาตรฐาน ไม่แพง สามารถเปลี่ยนได้เลยที่ศูนย์บริการ อู่นอก หรือเปลี่ยนเองก็ได้
          3. มีกำหนดระยะเวลาในการเปลี่ยนชัดเจน (เปลี่ยนเมื่อเช็กระยะ ฯลฯ)

     ข้อเสีย กรองเดิม
          1. ระยะเวลาในการใช้งานสั้น ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เมื่อถึงเวลาเช็กระยะ หรือหากสกปรกมาก
          2. ครีบของกรองอาจล้มได้ ทำให้กรองสิ่งสกปรกได้ไม่ดีเท่าที่ควร
          3. ดูดอากาศได้ไม่ดีเท่ากรองเปลือย

     ข้อดี กรองเปลือย
          1. มีหลากหลายราคา ขนาด และรูปทรงให้เลือกใช้
          2. เพิ่มความเท่ ความสวยงามให้กับห้องเครื่อง
          3. สามารถดูดอากาศได้ดีกว่ากรองเดิม

     ข้อเสีย กรองเปลือย
          1. เสียเงินเพิ่มขึ้น และต้องยอมเสียพื้นที่ภายในห้องเครื่อง เพื่อตีท่อเส้นใหม่ขึ้นมาใส่กรองเปลือย
          2. หากติดตั้งไม่ดี หรือไม่ถูกจุด อาจทำให้แรงตกในรอบต้น (พยายามหาจุดที่มีอากาศร้อนน้อยที่สุด หรือทำที่กั้นห้องให้กรองเปลือย เพราะในห้องเครื่องมีแต่อากาศร้อน)
          3. หากกรองเปลือยชำรุด ฉีกขาด หรือเสียหาย สิ่งสกปรกต่างๆ จะถูกดูดเข้าห้องเครื่องโดยตรงทันที

     แต่หลักๆ แล้วทั้งกรองเดิม และกรองเปลือย มีหน้าที่ในการกรองอากาศที่จะเข้ามาในเครื่องยนต์ให้สะอาด และบริสุทธิ์ที่สุด เพื่อเครื่องยนต์จะได้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้มันยังช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นผง ฝุ่นละอองต่างๆ เข้าไปทำความเสียหายภายในอีกด้วย

     สุดท้ายนี้ หากคุณใช้รถปกติ ไม่ได้เน้นความเร็วแรงอะไรมากมายนัก ใช้เพียงแค่กรองเดิมก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณอยากเพิ่มสมรรถนะให้รถของคุณขับสนุก ขับมันส์ยิ่งขึ้น เปลี่ยนมาใช้กรองเปลือยได้เลย (อย่าลืมเลือกจุดติดตั้งให้เหมาะสม) แต่ที่สำคัญ ไม่ว่าจะใส่กรองอากาศอะไร ควรหมั่นตรวจเช็ก และดูแลรักษาความสะอาดให้ดี เพื่อที่รถสุดรักจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย เครื่องไม่ดับ!
ช่วงนี้การจราจรค่อนข้างติดขัด เนื่องจากการเปิดเทอมของนักเรียน นักศึกษาทั้งหลาย ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้รถยิ่งติดคูณ 2 เข้าไปกันใหญ่ ซึ่งทุกๆ ปี จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขังตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่แม้จะมีอุโมงค์ยักษ์แล้ว น้ำก็ยังท่วมรอการระบายอยู่เหมือนเดิม
การขับรถฝ่าน้ำท่วมจึง ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเครื่องยนต์กลไก และระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของรถยนต์ ไม่ถูกกับน้ำอย่างยิ่ง หากไม่อยากเสียเงินเพื่อซ่อมรถ หรือร้ายแรงสุดๆ คือยกเครื่องใหม่ ถ้าเลี่ยงเส้นทางน้ำท่วมได้ หรือมีเส้นทางอื่นที่ไปถึงได้เหมือนกัน ก็ควรเลี่ยง อย่าฝืน หรืออย่าเสี่ยงจะดีกว่า
แต่ถ้าจำเป็นต้องไปทางนั้นจริงๆ หรือไม่มีทางให้เลี่ยง มาดูวิธีขับฝ่าน้ำท่วมยังไงให้ปลอดภัย และลดความเสี่ยงรถพังกันดีกว่า
1. ปิดระบบทำความเย็น หรือแอร์ทันที เพราะในขณะที่เรากำลังขับฝ่าน้ำท่วม หากเปิดแอร์ไว้ พัดลมจะทำงาน ทำให้ใบพัดหมุนตีจนน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง ซึ่งอาจทำให้น้ำเข้าห้องเครื่อง หรือเข้าระบบไฟได้ นอกจากนี้ใบพัดอาจพัดไปโดนเศษขยะต่างๆ เช่น กิ่งไม้ ขวดแก้ว ฯลฯ จนทำให้เกิดความเสียหาย ใบพัดแตก หรือหักได้อีกด้วย
2. ใช้เกียร์ต่ำขณะขับฝ่าน้ำท่วม โดยใช้แค่เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น สำหรับเกียร์ธรรมดา ส่วนเกียร์ออโต้ให้ใช้เกียร์ L หรือ 1 (เกียร์ต่ำสุดของรถแต่ละรุ่น) นอกจากนี้ควรรักษารอบเครื่องเอาไว้ประมาณ 1,500 – 2,000 รอบ เพราะหากรอบต่ำเกินไป เครื่องอาจดับได้ และหากรอบเครื่องสูงเกินไปอาจดูดน้ำเข้าห้องเครื่องได้ ให้รักษาความเร็วเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ
3. อย่าเร่งรอบเครื่องสูงๆ หลายคนมักเข้าใจผิด เร่งเครื่องเร่งรอบระหว่างขับผ่านน้ำท่วม เพราะกลัวน้ำจะเข้าท่อไอเสีย กลัวเครื่องจะดับ แต่จริงๆ แล้วมันกลับให้ผลร้ายมากกว่าที่คิด เนื่องจากการเร่งรอบสูงๆ ทำให้มีอุณหภูมิห้องเครื่องสูงขึ้น และเมื่อความร้อนสูงขึ้น พัดลมระบายความร้อนก็จะทำงาน ทำให้ใบพัดหมุน ผลเสียที่ตามมาก็จะเหมือนกับในข้อแรก และไม่ต้องไปกังวลเรื่องน้ำเข้าท่อ ถึงแม้น้ำจะท่วมท่อไอเสียก็ตาม เพราะรอบเดินเบามีแรงดันมากพอที่จะดันน้ำออกมาจากท่อได้นั่นเอง
4. ลดความเร็วลงเมื่อขับรถสวนกัน เพราะรถที่สวนเลนมาจะมีระดับคลื่นที่ดันผ่านมากับคลื่นที่เราดันไป ทำให้เกิดแรงปะทะระหว่างทั้ง 2 คลื่น และคลื่นน้ำที่ชนกันจะก่อให้เกิดแรงกระทบ พร้อมกับระดับน้ำที่สูงขึ้น ซึ่งมันสามารถเข้าไปสร้างความเสียหายภายใน หรือท่วมห้องเครื่องได้
5. เว้นระยะให้ห่างจากคันหน้ามากกว่าปกติ เพราะอย่าลืมว่า ระบบเบรกทั้งหมดจมอยู่ในน้ำ ประสิทธิภาพในการทำงานจึงลดต่ำลงมาก หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น จะได้มีระยะเบรกที่ปลอดภัย และหากขับรถพ้นช่วงน้ำท่วมแล้ว ให้ทำการย้ำเบรกบ่อยๆ หรือเหยียบเบรกเป็นช่วงๆ ถี่ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากระบบ และผ้าเบรกจะได้แห้งไวขึ้น สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ให้ย้ำคลัตช์เพิ่มเข้าไปด้วยอีกหนึ่งอย่าง เพราะอาจมีปัญหาคลัตช์ลื่นได้หลังจากผ่านการลุยน้ำท่วม
หลังจากที่ขับฝ่าน้ำท่วมมาได้แล้ว หรือถึงจุดหมายปลายทางแล้ว อย่าเพิ่งรีบดับเครื่องยนต์ ให้วอร์มเครื่องไปอีกสักพัก เพราะอาจมีน้ำตกค้างอยู่ในหม้อพักท่อ และถ้าเห็นว่ามีไอ หรือควันออกมาจากท่อไอเสีย อย่าได้ตกใจไป เพราะมันคือน้ำที่ระเหยออกมานั่นเอง ซึ่งหากคุณไม่ทำแบบนี้ อาจทำให้ท่อทั้งเส้นผุกร่อนเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้คุณควรที่จะนำรถไปล้าง เน้นฉีดน้ำแรงๆ เข้าไปบริเวณใต้ท้องรถ และซุ้มล้อ เพราะมันอาจมีเศษทราย เศษขยะ ฯลฯ ติดอยู่ภายในนั้น
สุดท้ายนี้ หากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ รถดับกลางน้ำท่วม ให้พยายามย้ายรถไปอยู่ในที่ที่น้ำไม่ท่วม และอย่าสตาร์ทเครื่องยนต์เด็ดขาด เพราะน้ำที่ค้างอยู่จะยิ่งเข้าระบบ อาจทำให้เครื่องมีปัญหามากกว่าเดิม ให้รอช่างมาตรวจดูอาการก่อนจะดีกว่า และสำหรับใครที่รู้ตัวว่ารถต้องโดนน้ำท่วมแน่ๆ (จอดที่บ้าน จอดที่คอนโด ฯลฯ) ให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ + หรือ – ออกหนึ่งขั้ว หรือจะถอดออกทั้ง 2 ขั้วเลยก็ได้ ระบบไฟฟ้าจะได้ไม่ทำงาน ถือว่าผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ในระดับหนึ่ง
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ครบกำหนดเช็กระยะ เข้าอู่ หรือเข้าศูนย์บริการดี?
รถยนต์หนึ่งคัน นอกจากจะต้องคอยดูแลรักษาให้ดี เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว เมื่อถึงเวลา เช็กระยะ ตามหลักกิโลเมตร หรือตามระยะเวลาที่กำหนด ก็สมควรที่จะนำเข้าไปตรวจเช็กดูทันที
จริงๆ แล้วคุณสามารถนำรถยนต์เข้าไปเช็กได้ก่อนจะถึงระยะที่กำหนด ซึ่งระยะที่ว่านี้จะอยู่ที่เท่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ส่วนใหญ่มักจะปล่อยเลยกันไปอีก จึงค่อยนำเข้าไปเช็ก แต่ทางที่ดีไม่ควรทิ้งระยะเกิน1,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเครื่องมีอายุการใช้งานในตัวของมันเอง นอกจากนี้ไม่แน่ว่าของเหลวต่างๆ ในเครื่องยนต์ยังมีอยู่รึไม่ เพราะมันอาจรั่ว ซึม หรืออาจหมดไปจริงๆ ก็ได้ และสุดท้ายมันอาจทำให้เครื่องรวน เสียหายหนัก หรือพังได้ ฯลฯ
รายการเช็กระยะส่วนใหญ่ มักจะมีอยู่ไม่กี่ข้อ ดังนี้
1. เปลี่ยนถ่ายของเหลว เช่น น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเบรค, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเพาเวอร์ ฯลฯ
2. ไส้กรองอากาศ, ไส้กรองน้ำมัน
3. แบตเตอรี่
4. หัวเทียน
5. ยางรถยนต์ เช่น ความดันลมยาง, สลับยาง, ถ่วงล้อ ฯลฯ
6. เบรค และจานเบรค
7. น้ำยาหม้อน้ำ
8. ช่วงล่าง และตัวถัง
9. อื่นๆ เช่น ใบปัดน้ำฝน, ที่ฉีดน้ำล้างกระจก ฯลฯ
ปกติรถมือหนึ่งส่วนใหญ่ มักเลือกใช้บริการเช็กระยะกับศูนย์บริการรถยี่ห้อนั้นๆ เพราะมีการรับประกันในช่วงแรก (อาจฟรีค่าแรง หรือส่วนลดค่าอะไหล่ภายใน 3 – 5ปี ฯลฯ) และเมื่อหมดระยะรับประกัน คุณก็จะมีตัวเลือกให้เลือก 2 ทาง คือ 1.เข้าศูนย์บริการตามเดิม 2.เข้าอู่ข้างนอก ซึ่งก็มีหลายคนลังเลว่าจะเข้าไปเช็กระยะที่ไหนดี (รวมไปถึงผู้ที่ซื้อรถยนต์มือสองมาใช้งานด้วย)

สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวเลือกนี้ ระหว่างศูนย์บริการ และอู่นอก เราจะขอสรุปเป็นข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี ศูนย์บริการ
- มีการรับประกันคุณภาพ
- ใช้อะไหล่แท้
- มีเครื่องมือมาตรฐาน และเครื่องมือพิเศษพร้อมบริการ
ข้อเสีย ศูนย์บริการ
- ราคาแพง
- เปลี่ยนอย่างเดียว ไม่มีซ่อม
- หากไม่แจ้งให้ทำอะไรบ้าง จะจับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
ข้อดี อู่นอก
- ราคาถูก
- มีอะไหล่เทียบแท้
- รับซ่อมอะไหล่
- คุยง่าย
ข้อเสีย อู่นอก
- ไม่มีการรับประกัน
- ช่างมีความรู้ ความสามารถจริงรึเปล่า
- อุปกรณ์ หรือเครื่องไม้เครื่องมือไม่ครบ
ถ้าหากจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ ศูนย์บริการมีความน่าเชื่อถือ มีการรับประกันงานทุกอย่าง หากมีปัญหาสามารถแจ้งเคลมได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าบริการที่แพงกว่า ส่วนอู่นอกมีราคาถูกกว่าเยอะ สามารถหาซื้อของข้างนอกเพื่อเอาไปให้ช่างเปลี่ยนได้ (ลดค่าใช้จ่ายได้อีก) หรือจะให้ช่างที่อู่หาให้ก็ได้เช่นกัน แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพงาน เพราะส่วนใหญ่ไม่มีการรับประกันใดๆ อย่างมากเต็มที่ไม่เกิน 6 เดือน (สำหรับอะไหล่บางตัว)
สุดท้ายนี้ หากคุณไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือหากเป็นกังวลเกี่ยวกับการรับประกัน ก็เลือกเข้าศูนย์บริการดีกว่า เพราะจะได้มีบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับรถของคุณอยู่กับทางศูนย์บริการ มีปัญหาอะไรก็สามารถเข้าไปซ่อมแซมแก้ไขได้ แต่ถ้าคุณอยากประหยัด คิดว่าเช็กระยะที่ไหนก็ได้ เหมือนๆ กัน ไม่กังวลเรื่องปัญหาที่จะตามมาทีหลัง หรือมีอู่ที่รู้จัก มีอู่ที่ไว้ใจได้ ก็เลือกใช้บริการอู่นอกได้เลย ย้ำอีกครั้ง!!! สบายใจแบบไหน เลือกใช้แบบนั้นนะครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เครื่องสั่น เบาดับ กินน้ำมัน ต้องรีบแก้?

อาการเครื่องยนต์สั่น หากผู้ใช้รถไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อาการ ต่างๆ เหล่านี้มักเป็นปัญหากวนใจ บางครั้งปล่อยปละละเลย เพราะเกรงว่าหากนำไปให้ช่างเช็กเครื่องยนต์ต้องมีค่าใช้จ่ายที่แพงแน่ๆ ทั้งที่จริงอาการเครื่องยนต์สั่นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมากอย่างที่คิด ส่วนอาการเครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุใดบ้างคำตอบอยู่ด้านล่างนี้แล้ว

อาการเครื่องยนต์สั่นมีสาเหตุจากอะไรบ้าง?

     1. เช็กจากยางแท่นเครื่อง มีอาการสั่นแต่ไม่ดับ จะเห็นอาการตั้งแต่ จอดรถติดเครื่องยนต์ และเปิดเครื่องปรับอากาศในรถรอให้คอมแอร์ทำงาน สังเกตได้ว่าเครื่องยนต์จะสั่นอย่างเห็นได้ชัดเจน และจะลดอาการสั่นเมื่อคอมแอร์ตัดการทำงาน หรือลองใส่เกียร์ D ปล่อยให้รถไหลออกตัวช้าๆ ค่อยๆ เหยียบเบรค ก็จะเห็นอาการเครื่องยนต์ที่สั่นสะเทือน

     2. เช็กหัวเทียนสูบใดสูบหนึ่งไม่ทำงานหรือไม่จุดระเบิด สังเกตสี และลักษณะของหัวเทียน ว่าเครื่องยนต์ของคุณสมบูรณ์หรือไม่

- หากมีสภาพสีดำแห้ง สามารถเช็ดออกได้ง่าย แสดงว่าส่วนผสมน้ำมันหนา
- มีสภาพน้ำมันเครื่องเปียก แสดงว่าลูกสูบ กระบอกสูบ แหวนลูกสูบสึกหรอ หรือหลวม
- มีสภาพไหม้ แสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป อาจใช้หัวเทียนผิดเบอร์ หรือผิดสเป็ค
- มีสภาพสีขาวจับ หรือสีเหลืองจับ แสดงว่าไฟอ่อนเปลี่ยนหัวเทียนให้ร้อนขึ้น

     3. เช็กท่อ Vacuum หาจุดรั่ว เพราะท่อ Vacuum มีหน้าที่เร่งไฟจุดระเบิดในช่วงรอบเดินเบา เพื่อช่วยให้รอบเดินเบาเครื่องยนต์เงียบไม่สั่น สังเกตถ้ารั่วจริงๆ ใช้ Timing Light เช็กอาการ เมื่อเราถอดสาย Vacuum ออกไฟจุดระเบิดจะไม่มีการเปลี่ยนไปจากตอนที่เสียบอยู่

     4. เช็กลิ้นปีกผีเสื้อ ดูคราบเขม่าเกาะติดหนาแน่นหรือไม่ ถ้ารอบเครื่องไม่นิ่งสวิงขึ้น-ลง รอบเดินเบาต่ำจนทำให้เครื่องดับ เครื่องสั่นขณะเร่ง หรือเร่งเครื่องแล้วความเร็วขึ้นช้า ให้ตรวจเช็กที่ลิ้นปีกผีเสื้อเป็นอันดับต้นๆ หากคุณพอมีความรู้ด้านช่างอยู่แล้วก็สามารถถอดลิ้นปีกผีเสื้อมาล้างเองได้

     ทั้งหมดนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้เครื่องยนต์สั่น คุณต้องสังเกตอาการเครื่องยนต์ด้วยว่าตรงกับอาการแบบไหนบ้าง ทางที่ดีควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หรืออู่ใกล้บ้านทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนสายเกินแก้ครับ

sanook.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เสียงหอนจากรถยนต์ เกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง?
รถยนต์ที่คุณใช้งานอยู่ทุกวัน เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งอาจจะเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ทั้งจากการใช้งานอย่างสมบุกสมบัน หรืออาจเกิดจากอายุของรถที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ ซึ่งนั่นอาจส่งผลให้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในขณะที่รถของคุณกำลังวิ่งอยู่ เช่น เสียงหอนจากรถยนต์
เสียงหอนจากรถยนต์ อาจหอนป็นระยะหรืออาจหอนแบบต่อเนื่องก็ได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นมีอยู่หลายปัจจัย เช่น การใช้งานแบบไม่ระวัง, ไม่ได้ดูแลรักษา หรือเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนด, ปล่อยปละละเลยอาการผิดปกติจนลุกลามไปส่วนอื่นๆ ฯลฯ
สำหรับชิ้นส่วนที่มักจะเกิดเสียงหอนบ่อยที่สุด หลักๆ จะมีอยู่ 3 จุด ดังนี้
1. เสียงหอนจากยางรถยนต์ มักจะหอนเมื่อขับรถไปถึงช่วงความเร็วหนึ่งมากกว่า ส่วนสาเหตุที่ทำให้หอนอาจเป็นเพราะ ยางเริ่มเสื่อมสภาพ ให้ลองเช็กดูก่อนว่า ยางบวม ดอกยางกินไม่เท่ากัน กินข้างใดข้างหนึ่ง กินเป็นบั้งหรือไม่ หากพบเจอตามอาการที่กล่าวมา ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ นอกจากนี้ให้ตรวจเช็กดูช่วงล่างด้วย เพราะเหตุที่ทำให้ยางเป็นแบบนั้น แสดงว่าช่วงล่างรถยนต์ของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว
2. เสียงหอนจากลูกปืนล้อรถยนต์ ยิ่งวิ่งยิ่งดังยิ่งหอนชัดเจน แม้แรกๆ จะน่ารำคาญเรื่องเสียง แต่หากปล่อยไว้นานๆ เสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกปืนแตกคาล้อ ทีนี้แหละรถก็จะขับไปไหนต่อไม่ได้ ต้องเรียกรถยกลากเข้าอู่สถานเดียว ทางที่ดีถ้าเริ่มได้ยินเสียง ควรจะรีบนำรถไปตรวจเช็กให้ไวจะดีกว่า
3. เสียงหอนจากเครื่องยนต์ ส่วนใหญ่จะเกิดกับพวกลูกปืนในห้องเครื่องที่พาดกับสายพานต่างๆ เช่น ลูกปืนเพาเวอร์, ลูกปืนพูลเล่ย์, ลูกปืนไดชาร์จ, ปั๊มน้ำ, คอมแอร์ ฯลฯ และหากคุณไม่มีความรู้ ไม่สามารถระบุได้ว่าดังมาจากชิ้นส่วนใด ให้นำรถเข้าไปตรวจสอบกับช่างผู้เชี่ยวชาญดีกว่า เพื่อจะได้ทราบถึงต้นตอปัญหา และทำการซ่อมแซม หรือแก้ไขได้ถูกจุด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ มันอาจเสียหายหนักขึ้น และลามไปยังส่วนอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นว่ารถของคุณ เกิดเสียงหอนดังมาจากส่วนใดระหว่าง ยางรถยนต์ หรือลูกปืนล้อ ซึ่งขั้นตอนก็ง่ายๆ เพียงแค่ยกรถของคุณให้ลอยจากพื้น (จะใช้ฮอยยกรถ หรือใช้แม่แรงยกขึ้นก็ได้ ตามความสะดวก) แล้วสตาร์ทรถ เข้าเกียร์ และเหยียบคันเร่งให้ล้อหมุน สังเกตฟังเสียงให้ดี หากไม่มีเสียงหอน แปลว่าไม่ได้เป็นที่ลูกปืน สาเหตุเกิดจากยางรถยนต์แน่นอน
หากเกิดเสียงหอนหรือความผิดปกติอื่นๆ กับรถยนต์ของคุณ อย่าได้นิ่งนอนใจ คุณควรที่จะรีบนำรถไปตรวจเช็กให้เรียบร้อย เพราะหากเกิดปัญหาระหว่างขับขี่ขึ้นมา อาจเกิดอุบัติเหตุ และอันตรายขึ้นได้
sanook
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถคุณเหมาะกับน้ำมันเครื่องแบบไหน?

      น้ำมันเครื่อง มีหน้าที่ดูแลชิ้นส่วนโลหะ ระบายความร้อน ลดการเสียดสี ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ยังช่วยเคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่า และเศษโลหะ ป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหลภายในเครื่องยนต์ ที่สำคัญป้องกันการกัดกร่อนจากสนิม และกรดต่างๆ ถ้าหากคุณใช้น้ำมันเครื่องที่ดีมีคุณภาพ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นประจำจะช่วยให้ยืดอายุการทำงานของเครื่องยนต์ได้นานขึ้น โดยคุณสามารถเลือกใช้น้ำมันเครื่องได้ดังนี้

น้ำมันเครื่องที่คุ้นเคยตามการใช้งานมี 3 ชนิด

       1. น้ำมันเครื่องชนิดธรรมดา มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 4,000 กิโลเมตร
       2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 7,000 กิโลเมตร
       3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตร

ตัวอย่างการเลือกซื้อ เช่น รหัส 5w - 30

       ตัวเลข 5w หมายถึงค่าความข้นใส การทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็น ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งทนได้มากขึ้น และตัวเลขมากจะเหมาะสำหรับอุณหภูมิสูงๆ ครับ
       ตัวเลข 30 หมายถึงค่าความหนืด ยิ่งน้อย ยิ่งมีความหนืดน้อย หรือลื่นมากนั่นเอง ถ้าหากรถคุณมีอาการกินน้ำมันเครื่องจากการใช้เครื่องยนต์หนัก หรือเครื่องยนต์มีอายุมาก ก็ให้เพิ่มเลขท้ายเป็นเบอร์ 40-50 ได้เลย เพื่อเพิ่มความหนืดน้ำมันเครื่อง ป้องกันการรั่วของกำลังอัด สำหรับอากาศประเทศไทยให้ดูเลขท้ายน้ำมันเครื่องเป็นหลักครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน

สังเกตตัวอักษร S คือ เครื่องยนต์เบนซิน ตามหลังคำว่า API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจาก เกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด เช่น น้ำมันเครื่องตัวนี้ระบุเกรด L ตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะระบุว่า API SL คือ S เครื่องเบนซิน เกรด L เป็นต้น

เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ ดีเซล

       สังเกตตัวอักษร C คือ เครื่องยนต์ดีเซล ตามหลังคำว่า API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจากเกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด เช่น น้ำมันเครื่องตัวนี้ระบุเกรด Lตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะระบุว่า API CL คือ C เครื่องดีเซล เกรด L เป็นต้น

       สำหรับการถ่ายน้ำมันเครื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก หากคุณใช้งานปกติก็บำรุงรักษาตามคู่มือรถได้เลย ส่วนจะเลือกถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการ หรือมีอู่ประจำก็เลือกได้ตามสะดวก ส่วนใครที่มีความเป็นช่างก็สามารถเปลี่ยนถ่ายเองได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่าลืมน้ำมันเครื่องเก่าเอาไปขายได้นะครับ

sanook.com
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

8. อุปกรณ์ชาร์จไฟต่างๆ ดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไร แต่ถ้าเกิดรถเสียแล้วซ่อมเองไม่ได้ จำเป็นต้องตามช่าง หรือตามรถยก แล้วแบตเตอรี่โทรศัพท์เกิดหมดขึ้นมา จะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่ เพราะไม่สามารถขอความช่วยเหลืออะไรได้เลย
9. กล้องติดรถยนต์ นับเป็นอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่คนมีรถจำเป็นต้องติด เพราะมันมีส่วนสำคัญในการช่วยตัดสินเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถือเป็นพยานชั้นดีในการพิสูจน์ความถูก-ความผิดเมื่อเกิดคดีความ รวมไปถึงในกรณีที่รถของคุณถูกเฉี่ยวชน แล้วคู่กรณีเกิดหนีขึ้นมา หลักฐานในกล้องก็จะสามารถช่วยตามหาคนผิดได้ไม่ยาก และยังเอาไปให้ประกันดูเพื่อเป็นหลักฐานในการเคลมได้อีกด้วย
10. เครื่องป้องกันการหลับใน อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และคนส่วนใหญ่คิดว่ามันไม่สำคัญ แต่การมีติดรถไว้ขณะเดินทางไกล ก็ถือว่าช่วยได้จริงๆ เพราะบางคนขับรถไกลมาก อาจใช้เวลานาน 8 – 12 ชั่วโมง(ช่วงเทศกาล) และหากรถที่นั่งไปมีคนขับรถเป็นแค่คนเดียว จะยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ การมีเครื่องป้องกันการหลับในที่คอยส่งเสียงแจ้งเตือนก่อนคุณจะหลับ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง และอุบัติเหตุลงได้
การขับรถเดินทางไกล นอกจากต้องเตรียมรถ เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินให้พร้อมแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างที่ต้องเตรียมก็คือ สติ เพราะหากขาดสติในการขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การพักผ่อนก่อนเดินทางไป และเดินทางกลับ เพราะถ้ามีแค่สติ แต่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host