"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 'เบรกแตก-คันเร่งค้าง' รับรองรอดชัวร์...!
ปัจจุบันปัญหา 'เบรกแตก' หรือ 'คันเร่งค้าง' พบได้น้อยลงกว่าสมัยก่อนเยอะ เพราะเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้วิศวกรสามารถออกแบบระบบต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี หากเราใช้รถเกินลิมิตของมัน เช่น เหยียบเบรกตลอดเวลาขณะลงเขาจนเบรกร้อนจัด หรือมีพรมปูพื้นเข้าไปขัดกับแป้นคันเร่ง จนทำให้เกิดเหตุการณ์คันเร่งค้าง เหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน Sanook! Auto จึงขอแนะนำวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหากเกิดเหตุการณ์ 'เบรกแตก' หรือ 'คันเร่งค้าง' หากมีสติพอที่จะปฎิบัติตามนี้แล้วล่ะก็ รับรองว่าจะสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
#เบรกแตก
ปัญหารถเบรกแตกในปัุจจุบันมักพบได้บ่อยในรถที่ขับลงเขาด้วยความเร็วสูง โดยใช้วิธีเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วตลอดเวลา จนทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกร้อนจัด จนเสียประสิทธิภาพในการชะลอความเร็วไป เมื่อถึงจุดนั้นต่อให้เหยียบเบรกแรงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ แถมรถยังเพิ่มความเร็วตามความชันของเส้นทางจนไม่อาจควบคุมทิศทางได้
ดังนั้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีรถเบรกแตก ไม่สามารถชะลอหรือหยุดรถด้วยการเบรกได้นั้น ก่อนอื่น "ห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาด" เพราะจะทำให้พวงมาลัยเพาเวอร์หนักขึ้นและไม่สามารถเหยียบเบรกได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการลดตำแหน่งเกียร์เป็น "L" ทันที เพื่อให้รถใช้เกียร์ต่ำสุด จะทำให้เกิดเอนจิ้นเบรก (Engine Brake) ช่วยชะลอความเร็วลงได้ ซึ่งตำแหน่งเกียร์ต่ำสุดในรถแต่ละคันอาจแตกต่างกันออกไป เช่น L, 2 หรือ 1 ซึ่งกรณีที่เป็นเกียร์แบบมีแป้น +, - ให้ผลักมาที่โหมด M พร้อมกับลดตำแหน่งเกียร์ลงมาทันที
เมื่อความเร็วลดลงจนปลอดภัยแล้ว ให้ลองพยายามเหยียบเบรกอีกครั้ง แต่หากความเร็วไม่ลดลง ให้ดึงเบรกมือขึ้นอย่างนุ่มนวลเพื่อป้องกันล้อล็อคตาย โดยประคองพวงมาลัยไว้ให้มั่นคงควบคู่กันไป
#คันเร่งค้าง
รถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันจะถูกติดตั้งระบบ Brake Override มาให้ ซึ่งจะช่วยตัดการทำงานของคันเร่งเมื่อเหยียบเบรก ทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าและสามารถชะลอความเร็วได้อย่างปลอดภัย
แต่สำหรับรถที่ไม่มีระบบดังกล่าวมาให้ หากเกิดเหตุการณ์คันเร่งค้างจากสาเหตุใดก็ตาม ห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาด ให้ปลดเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N) รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นสูงทันที แต่ตัวรถจะไม่เพิ่มความเร็ว จากนั้นให้เหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วอย่างปลอดภัย ในกรณีที่เป็นรถไฮบริดที่ใช้คันเกียร์แบบไฟฟ้า ให้ผลักคันเกียร์ไปที่ตัว N ค้างไว้ ก็จะสามารถเข้าเกียร์ว่างขณะรถเคลื่อนที่ได้เช่นกัน
สิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ 'สติ' หากสามารถปฎิบัติตามคำแนะนำข้างต้นได้ทันท่วงที ก็จะช่วยให้รอดพ้นเหตุการณ์อันตรายได้อย่างปลอดภัยครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

สาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ มีอะไรบ้าง?
เชื่อว่าทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า พลังงานในการขับเคลื่อนรถทุกชนิดส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีการคิดค้น และพัฒนา เพื่อหาพลังงานอื่นๆ มาทดแทน เนื่องจากน้ำมันเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป หากถึงเวลาเมื่อไหร่ น้ำมันอาจหมดโลก ไม่มีให้เราใช้แล้วก็ได้
แต่กว่าที่เราจะพัฒนาไปถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน คาดว่าคงอีกหลายสิบ หลายร้อยปี กว่าจะทำสำเร็จ ตอนนี้เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องช่วยกันประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้ แต่บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่า รถที่เราใช้งานอยู่ ทำไมถึงเริ่มกินน้ำมันมากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่ได้กินขนาดนี้
ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีสาเหตุอยู่หลายปัจจัยที่ทำให้เครื่องยนต์ของคุณ กินน้ำมันมากกว่าปกติ แต่หลักๆ แล้วมีดังนี้
1. กรองอากาศสกปรก อุดตัน ทำให้อากาศไหลผ่านเข้าห้องเผาไหม้ได้น้อย เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มที่
2. ระบบจุดระเบิดมีปัญหา เช่น สายหัวเทียนชำรุด หัวเทียนบอด ตั้งจังหวะจุดระเบิดไม่ถูกต้อง หรือสายคอยล์ขาด ฯลฯ
3. ส่วนผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศไม่ถูกต้อง อาจเป็นไปได้ที่ช่างจะปรับให้ส่วนผสม หรือก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหนามากเกินไป
Advertisement
4. เครื่องยนต์หลวม อาจเป็นเพราะอายุ ความเก่า หรือการใช้งานหนักแบบตะบี้ตะบัน จึงทำให้กำลังอัดของเครื่องยนต์ลดน้อยลงไป
หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ ให้รีบแก้ไข หรือนำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว มันอาจส่งผลเสียไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กรมการขนส่งทางบก ระบุ!!! มาตรการเข้มงวดการใช้รถป้ายแดงป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย กำหนดดำเนินการแบบเป็นขั้นตอน เบื้องต้นระหว่าง วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2560 จับ-ปรับในอัตราเบื้องต้นกับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียน นานเกิน 60 วันนับจากรับรถ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เข้มงวดจับ-ปรับตามกฎหมายกับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนเกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ จนกว่ากฎหมายยกเลิกป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกำหนดมาตรการเข้มงวดการใช้รถป้ายแดง เพื่อป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย และอาจเป็นช่องทางการก่อปัญหาอาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและยากต่อการควบคุมกำกับดูแลการใช้รถใช้ถนน ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนและผู้จำหน่ายรถมีการปรับตัว จึงกำหนดแนวทางดำเนินการบังคับมาตรการทางกฎหมายแบบเป็นขั้นตอน ร่วมกับการสร้างความเข้าใจ การรับรู้ โดยจะเริ่มบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตรวจสอบรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนนานเกิน 60 วัน นับแต่วันรับรถ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป หากพบการฝ่าฝืนจะพิจารณาอัตราเปรียบเทียบปรับในอัตราเบื้องต้น ควบคู่กับการแนะนำและตักเตือน พร้อมชี้แจงมาตรการการบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการเข้มงวดตรวจจับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนเกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ หากพบการใช้งานป้ายแดงเกินกำหนดระยะเวลา เปรียบเทียบปรับในฐานความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 6 ฐานใช้รถที่ยังไม่จดทะเบียน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยจะดำเนินการตรวจจับอย่างต่อเนื่องเข้มข้นไปจนกว่ากฎหมายยกเลิกการใช้ป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ผู้จำหน่ายรถต้องระบุวันที่รับรถในสมุดคู่มือการใช้ป้ายแดง เพื่อให้เจ้าของรถแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ทันทีเมื่อถูกเรียกตรวจสอบ พร้อมทั้งผู้จำหน่ายรถ ต้องจัดทำรายงานข้อมูลการรับรถส่งกรมการขนส่งทางบกเป็นประจำทุกเดือน
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ มาตรการเข้มงวดดังกล่าวเพื่อป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย เนื่องจากป้ายแดงตามกฎหมายแล้วถือเป็นรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน เป็นเพียงเครื่องหมายพิเศษที่กรมการขนส่งทางบกออกให้แก่บริษัทจำหน่ายรถอนุญาตให้ใช้เฉพาะกรณีเพื่อขายหรือเพื่อซ่อมเท่านั้น เช่น การขับจากโรงงานผู้ผลิตไปส่งยังผู้แทนจำหน่าย หรือขับจากผู้แทนจำหน่ายส่งไปยังผู้ซื้อ โดยในการเคลื่อนย้ายแต่ละครั้งต้องใช้คู่กับสมุดคู่มือประจำรถและใบอนุญาตให้ใช้รถ หรือได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราว โดยจะเข้มงวดกวดขันตามมาตรการดังกล่าว จนกว่ากฎหมายการยกเลิกป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะกำหนดให้รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องจดทะเบียนก่อนใช้งานบนท้องถนน ซึ่งในปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกใช้ระยะเวลาในการจดทะเบียนรถใหม่เพียงวันเดียว จึงขอให้ประชาชนจดทะเบียนรถให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อการใช้รถที่ถูกต้องและปลอดภัย อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

นอกจากจะต้องคอยนำรถยนต์เข้าเช็กระยะและคอยสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ แล้ว การดูแล รถที่จอดตากแดดบ่อยๆ ระหว่างทำธุระ หรือจอดไว้ที่ทำงาน ฯลฯ ก็ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
เพราะใช่ว่าทุกที่จะมีที่จอดรถในร่มเสมอ หรือต่อให้มี บางทีก็อาจจะเต็ม จนคุณต้องวนรถออกไปจอดตากแดดข้างนอก ทำให้รถของเราต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ โดยไม่มีอะไรปกปิด หรือป้องกัน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นก็คือ สีรถซีดจางลงเร็วกว่าปก หรือรถที่จอดในร่ม เพราะรังสีความร้อนของพระอาทิตย์ และยังมีปัญหาของฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ขี้นก ที่นอกจากจะทำให้รถเปรอะเปื้อนแล้ว มันยังทำให้รถเป็นรอยด่างๆ ดวงๆ รวมไปถึงความเสียหายภายในรถยนต์ ที่เกิดจากความร้อนที่สะสม และอบอยู่ภายในรถเป็นเวลานาน ฯลฯ
สำหรับวิธีดูแลรถที่ต้องจอดกลางแจ้ง หรือจอดตากแดดเป็นประจำ มีอยู่ 3 ข้อ ง่ายๆ ดังนี้
1. ใช้ผ้าคลุมรถ ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมสะท้อนแสงที่แถมจากศูนย์บริการตอนซื้อรถใหม่ หรือจะไปหาซื้อทีหลังก็ได้ เพราะมันสามารถช่วยปกป้อง และครอบคลุมรถได้ทั้งหมด แต่ตอนใช้ก็ต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะมีเศษฝุ่นเศษทราย หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่ติดรถ ขูดขีดกับผ้าในระหว่างใช้งานตอนคลุม และตอนเก็บ ยังไงก็ดูให้ดี และก็ทำแบบเบามือหน่อย
2. เต็นท์คลุมรถแบบพับเก็บได้ บางคนอาจยังไม่รู้จัก แต่จริงๆ แล้วมันมีขายในบ้านเรามาพักใหญ่ๆ แล้ว แถมยังกันแดดได้ดีเกือบเท่ากับการนำรถไปจอดในที่ร่ม ซึ่งมันมีขนาดให้เลือกใช้มากมาย เวลาจะซื้อมาใช้ก็ควรดูให้ดี ว่ามันพอดีกับรถคุณหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องดูพื้นที่ในการจอดด้วยว่า มีความกว้างขวางพอให้กางเจ้าเต็นท์นี้รึเปล่า เพราะมันออกจะดูเกะกะไปสักหน่อย และก็ต้องระวังให้ดีในวันที่มีลมพัดแรง เนื่องจากมันอาจปลิวไปตามแรงลมจนไปทำความเสียหายให้กับรถคันอื่นได้ ดังนั้นคุณจึงควรติดตั้งให้แน่น และตรวจเช็กดูความเรียบร้อยให้ดีในทุกๆ ครั้งที่ใช้งาน
3. เคลือบสีรถ หากไม่อยากเสี่ยงกับผ้าคลุมรถ (กลัวรถเป็นรอย) หรือเต็นท์คลุมรถแบบพับเก็บได้ (กลัวจะหลุดไปโดนรถคันอื่น) วิธีนี้ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว เพียงแค่นำรถเข้าร้านคาร์แคร์ หรือจะทำเองเดือนละครั้งก็ได้ เพราะการเคลือบสีรถสามารถช่วยปกป้องรังสีจากดวงอาทิตย์ แถมยังช่วยถนอมสีรถไม่ให้จืดจางซีดเร็ว แต่ถ้าอยากปกป้องแบบขั้นสุด เคลือบแก้วไปเลย เพราะการเคลือบแก้ว จะเพิ่มชั้นฟิล์มขึ้นมาปกป้องอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันชั้นสีแท้ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้ และยังช่วยลดความรุนแรงในการทำลายของแสงแดดได้อีกด้วย
หากเป็นไปได้ คงไม่มีใครอยากจอดรถไว้กลางแดดกันหรอก เพราะเชื่อว่าแต่ละคนก็คงรับรู้ถึงความรุนแรงของแสงแดดในบ้านเรา ว่ามันร้อนแรง และรุนแรงขนาดไหน แต่ถ้าหลีกหนีการจอดรถตากแดดไม่ได้จริงๆ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดู แม้บางข้ออาจจะดูยุ่งยาก วุ่นวาย และเสียเวลา แต่ถ้าคุณรักรถของคุณ เรื่องพวกนี้มันอาจจะดูเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเลยก็ได้[img][img][/img][/img]
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีเลือกและดูแลใบปัดน้ำฝน
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)​ แนะผู้ขับขี่เลือกใช้ที่ปัดน้ำฝนที่ทำจากโลหะ �มีขนาดเหมาะสมกับมาตรฐานที่รถกำหนด การเลือกและดูแลใบปัดน้ำฝน ทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลย
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ใบปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในช่วงฤดูฝน ทำให้ผู้ขับขี่มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางอย่างชัดเจน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ​ �เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอแนะ การเลือกใช้และดูแลใบปัดน้ำฝนให้พร้อม�ใช้งานในช่วงฤดูฝน ดังนี้
การเลือกใช้ใบปัดน้ำฝน
ใช้ใบปัดน้ำฝนที่ผลิตจากวัสดุและเนื้อยางที่มีคุณภาพดี เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างคงทน โครงของใบปัดน้ำฝนทำจากโลหะ เพื่อป้องกันการกระพือจากแรงลมในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง และช่วยเพิ่มน้ำหนักในการรีดน้ำจากกระจก มีขนาดเหมาะสมกับมาตรฐานที่รถกำหนด
หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้รัศมีในการ�ปัดน้ำฝนน้อยลง ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดใหญ่มากไป ใบปัดจะเลยขอบกระจก ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นลง
ยางใบปัดน้ำฝนแนบสนิทกับกระบังลมหน้า-หลัง เลือกที่มีความยืดหยุ่นและมีขนาดพอดีกับก้านใบปัดน้ำฝน เนื้อยาง�มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป และคงทนต่อสภาพอากาศร้อน
วิธีสังเกตลักษณะของใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ
- เนื้อยางแข็งกรอบและมีรอยฉีกขาด
- กวาดน้ำบนกระจกไม่สะอาด รีดน้ำจากกระจกไม่หมด
- กวาดแล้วมีรอยขุ่นมัวหรือละอองน้ำเป็นม่านบนกระจก
- ยางปัดน้ำฝนมีอายุใช้งานมานานมากกว่า 1 ปี
- มีเสียงดังและมีอาการกระตุกขณะใช้งาน ซึ่งเกิดจากการเสียดสีกันระหว่างใบปัดน้ำฝนกับกระจก
การดูแลใบปัดน้ำฝน
- จอดรถในที่ร่ม เพื่อป้องกันแสงแดด ทำให้ยางใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบและขาดความยืดหยุ่น เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน
- หมั่นตรวจสอบสภาพและทำความสะอาดยางใบปัดน้ำฝน โดยยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นและ�ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดตามแนวยาวของใบปัดน้ำฝน
- ไม่ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดใบปัดน้ำฝน เพราะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วและสีรถได้รับความเสียหาย
- ใช้น้ำยาเช็ดกระจกและเคลือบกระจกอยู่เสมอ จะทำให้กระจกสะอาดและใบปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
กรณีใบปัดน้ำฝนชำรุด
หากยางปัดน้ำฝน ฉีกขาด แข็งกรอบ ปัดน้ำไม่สะอาด มีเสียงดังหรือสะดุดขณะใช้งาน มีรอยขีดข่วนบนกระจก ให้เปลี่ยนชุดใบปัดน้ำฝนใหม่ เติมน้ำผสมน้ำยาเช็ดกระจกหรือแชมพูในกระปุกฉีดน้ำ จะช่วยขจัดคราบสกปรกบนกระจกได้สะอาดขึ้น
กรณีหัวฉีดน้ำอุดตัน
ใช้เข็มหมุดเจาะบริเวณรู พร้อมปรับทิศทางของช่องฉีดน้ำให้อยู่แนวกึ่งกลางของกระจกรถ
ทั้งนี้ การใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ นอกจากจะไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้สะอาดแล้ว ยังส่งผลให้กระจกหน้ารถเป็นรอย โดยเฉพาะการขับรถในช่วงที่ฝนตกหนัก ทำให้มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กรมการขนส่งทางบก ยกระดับการออกใบอนุญาตขับรถสู่มาตรฐานสากล เพิ่มเทคโนโลยีทันสมัยป้องกันการปลอมแปลง อาทิ แถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip), QR Code เก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเพิ่มความสามารถรองรับระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน กำหนดวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ยกเลิกใบขับขี่แบบกระดาษ และจะได้รับใบขับขี่ Smart card รูปแบบปัจจุบัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท และตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2560 เริ่มออกใบขับขี่ Smart card รูปแบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยครบถ้วนเพียงรูปแบบเดียว
.
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกเตรียมยกระดับเทคโนโลยีใบอนุญาตขับรถแบบพลาสติกหรือ Smart card ตามมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความปลอดภัย ป้องกันการปลอมแปลงด้วยระบบเทคโนโลยีทันสมัย ด้วยแถบข้อมูลแม่เหล็ก (Magnetic Strip) และเพิ่มเทคโนโลยี QR Code จัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการพัฒนา Application เพื่อความสะดวกในการอ่านข้อมูลและนำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกของการเตรียมปรับรูปแบบใบอนุญาตขับรถสู่มาตรฐานสากล กรมการขนส่งทางบกกำหนดยกเลิกการออกใบอนุญาตขับรถรูปแบบกระดาษ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป โดยประชาชนจะได้รับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท ที่เป็นแบบสมัครใจตามเดิม เนื่องจากเป็นการดำเนินการเองโดยกรมการขนส่งทางบก ส่งผลให้ประชาชนไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากอัตราค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตขับรถตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเท่านั้น ดังนั้น กรณีที่ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราว จากอัตราเดิมคือ 305 บาท จะเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 205 บาท กรณีเป็นใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล จากอัตราเดิมคือ 605 บาท จะเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 505 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2560 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกจะเริ่มดำเนินการออกใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบใหม่ ที่มีเทคโนโลยี QR Code ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถทั้งตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก เพียงรูปแบบเดียว เพื่อประโยชน์ในการควบคุมกำกับดูแลความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนที่ได้รับใบอนุญาตขับรถรูปแบบกระดาษ ที่กรมการขนส่งทางบกออกให้ก่อนวันที่ 15 สิงหาคม 2560 รวมถึงใบอนุญาตขับรถ Smart card ที่ออกให้ก่อนวันที่ 4 กันยายน 2560 ยังคงสามารถใช้งานได้ตามกำหนดอายุการใช้งานของใบอนุญาตขับรถ แต่หากชำรุด สูญหาย หรือถึงกำหนดระยะเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถ เมื่อติดต่อขอทำใหม่จะได้รับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบใหม่เท่านั้น
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบใหม่เป็นบัตรพลาสติกซึ่งมีความคงทนถาวรกว่ารูปแบบเดิม มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ ด้วยเทคโนโลยีแถบข้อมูลแม่เหล็ก (Magnetic Strip) เทคโนโลยี QR Code จัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ GPS Tracking เป็นเครื่องมือในการบันทึกข้อมูลการขับรถ โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทุกขนส่ง ทั้งรถบรรทุกวัตถุอันตราย และรถบรรทุกสิบล้อขึ้นไป รถแท็กซี่ หรือรถในกลุ่มเป้าหมายตามที่กรมการขนส่งทางบกประกาศบังคับใช้แล้ว นอกจากนี้ ใบอนุญาตขับรถ Smartcard รูปแบบใหม่ ยังมีความสวยงามเป็นสากล ปรากฏข้อมูลเจ้าของบัตรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษควบคู่กัน สามารถนำไปใช้ขับรถได้ในประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา โดยไม่ต้องทำใบอนุญาตขับรถสากลตามความตกลงร่วมกัน เพื่อให้การคมนาคมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพิ่มความสามารถในการรองรับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
--------------------------------------
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เปลี่ยนใบปัด และตรวจเชคระบบปัดน้ำฝน เรื่องง่ายๆ (แต่บางคน) ทำไม่ได้ เสียฟอร์มแย่ !
ระบบปัดน้ำฝนอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคนใช้รถทั่วไป มักจะละเลย และนึกไม่ถึง กว่าจะมาเห็นความสำคัญอีกทีก็ตอนเจอฝน (อย่างขณะนี้) เข้าแล้ว ซึ่งอาจสายเกินไปก็ได้
เมื่อเข้าสู่หน้าฝน คนส่วนมากมักตรวจเชคเฉพาะแค่ยางรถยนต์อย่างเดียว แต่ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ต้องพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั่นคือ ระบบปัดน้ำฝน เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มทัศนวิสัยของการขับขี่ขณะฝนตกได้อย่างมหาศาล ถ้าเราไม่ตรวจเชคให้ดี เวลาปัดน้ำฝนไปแล้วจะเป็นเส้นๆ หรือมัวๆ ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
ระบบปัดน้ำฝน ประกอบด้วยอุปกรณ์หลักๆ 4 ชนิด ได้แก่ มอเตอร์ปัดน้ำฝน ก้านปัดน้ำฝน แขนปัดน้ำฝนและใบปัดน้ำฝน
มอเตอร์ปัดน้ำฝน
มอเตอร์ปัดน้ำฝน มีหน้าที่สร้างแรงจากการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยสมัยก่อนจะเป็นแบบขดลวด คือ มีการใช้ขดลวดพันรอบแกนเพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก แต่ปัจจุบันนี้จะเป็นแบบแม่เหล็กถาวรกันหมดแล้ว โดยใช้แม่เหล็กถาวรเฟอร์ไรท์เพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก ในปัจจุบันมอเตอร์แบบแม่เหล็กถาวรได้ถูกพัฒนาทำให้มีขนาดเล็กและเบา จึงนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง
ก้านปัดน้ำฝน
ก้านปัดน้ำฝน ถูกส่งไม้ต่อ โดยมีหน้าที่เปลี่ยนแปลงการหมุนของมอเตอร์ มาเป็นการเคลื่อนที่แบบส่ายไป/มาของแกนหมุน ซึ่งด้านซ้าย/ขวาของก้านปัดน้ำฝน มักจะสั้น/ยาวไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้แนบกับส่วนโค้งของกระจกได้ดี
หน้าที่หลักของก้านปัดน้ำฝน คือ การกวาดน้ำออกจากกระจก ก้านปัดน้ำฝนที่ดี ต้องรีดน้ำออกจากกระจกได้สม่ำเสมอ ไม่ก่อให้เกิดเสียงขณะปัด ไม่แข็งกระด้างสามารถปัดได้เกลี้ยง หากพบว่าการปัดไม่เกลี้ยงยางมีรอยขาดและปัดเรียบแต่บางช่วง ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนได้แล้ว
น้ำล้างกระจก
น้ำที่ฉีดจากระบบฉีดน้ำฝน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปัดล้างทำความสะอาดกระจก แถมยังช่วยถนอมยางของก้านปัดได้อีกด้วย ควรหมั่นตรวจเชคระดับน้ำในกระป๋องน้ำฉีดกระจกให้เต็มอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้ ควรเติมน้ำยาล้างกระจกลงในกระป๋องน้ำฉีดกระจกบ้าง เพื่อช่วยขจัดคราบต่างๆ ให้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะน้ำยาล้างกระจก มีคุณสมบัติไม่ทำให้เกิดการกัดกร่อนยางหรือสี แต่จะชำระล้างสิ่งสกปรก และคราบน้ำมัน โดยการปัดของใบปัดน้ำฝน
คุณสมบัติที่ดีของใบปัดน้ำฝน
– ทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพ หน้าสัมผัสของยางปัดน้ำฝนระหว่างปลายของยางปัดกับผิวกระจกประมาณ 0.01-0.05 มิลลิเมตร
– มีความทนทาน และทนความร้อน ยางปัดต้องทำจากยางคุณภาพสูง สามารถทนต่อแสงแดด รังสีอุลทราไวโอเลท โอโซน และไอเสีย
– ทนต่อสารเคมี (CHEMICAL RESISTANCE) ใบปัดต้องทนต่อสารเมธานอล (METHANAL) และสารละลายอื่นๆ ที่ใช้ในการล้าง
– ทนต่อการทำงานของสารเคมี (ANTI-CORROSION) ใบปัดต้องมีการป้องกันสนิม และไม่เป็นตัวนำ เพื่อป้องกันใบปัดจากสารซัลไฟท์ในอากาศ
– มีความมั่นคง (STABILITY) ใบปัดต้องมั่นคง และไม่ยกขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง
อุปกรณ์
1. น้ำยาเคลือบกระจก
2. น้ำยาล้างกระจก
3. ก้านปัดน้ำฝน
4. น้ำสะอาด
5. ผ้าสะอาด
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีป้องกัน และแก้ไข แอร์รถยนต์เหม็นอับ!
นับเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว หากระบบทำความเย็น หรือแอร์รถยนต์มีปัญหา ยิ่งถ้าเป็นปัญหาแอร์ไม่เย็น มีแต่ลมร้อน ก็ต้องเสียเงินซ่อม หรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่กันไป แต่ถ้าเป็นเพราะ แอร์รถยนต์เหม็นอับ ก็พอจะมีทางแก้ไขได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปเสียเงินเยอะแยะอะไรมากมาย
แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีแก้ไข เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า เพราะเหตุใดแอร์ถึงมีกลิ่นเหม็นอับ ซึ่งหลักๆ แล้วมันเกิดขึ้นจาก เชื้อราชนิดหนึ่ง และเชื้อราชนิดนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะคอยล์เย็นแห้งไม่สนิท หรือมีความชื้นจากการทำงานของแอร์นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีพวกฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่างๆ ภายในรถ และน้ำหอมติดรถยนต์ ที่ระเหย และวนเวียนอยู่ภายในอากาศ คอยเข้าไปเกาะแผงคอยล์เย็น จนทำให้เกิดการสะสม และหมักหมมเพิ่มมากขึ้น
สำหรับวิธีป้องกัน และแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นอับภายในรถยนต์ มีอยู่ 7 ข้อ ดังนี้
1. ให้กดสวิทช์ปุ่ม A/C เพื่อปิดการทำงานของระบบแอร์ จากนั้นเปิดพัดลมโดยเร่งไปที่เบอร์แรงสุด ก่อนที่จะถึงที่หมาย หรือก่อนจอดรถประมาณ 5 นาที เพื่อไล่ความชื้นออก และช่วยลดการหมักหมมในระบบแอร์
2. นำรถไปจอดกลางแดด จากนั้นเปิดกระจก เปิดประตูทิ้งไว้ทุกบาน เพื่อระบายความชื้น และกลิ่นเหม็นอับต่างๆ
3. ใส่ถ่านหุงข้าวไว้ในรถ เพื่อช่วยดูดซับกลิ่นต่างๆ
4. ใช้สเปรย์ปรับอากาศฉีดพ่นภายในรถ
5. ใส่ดอกไม้ หรือสมุนไพรไว้ในรถ เช่น ดอกมะลิ ใบเตย ฯลฯ เพราะของพวกนี้มันจะมีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ สามารถใช้กลบกลิ่นเหม็นอับต่างๆ ได้
6. น้ำส้มสายชู ให้ใส่ถ้วยแล้ววางไว้ภายในรถประมาณ 2 ชั่วโมง ความเปรี้ยวของมันจะช่วยดูดกลิ่นอับต่างๆ ให้หายไป
7. ใส่เบกกิ้งโซดา หรือผงฟูไว้ในถ้วยแล้ววางไว้ในรถ มันจะช่วยดูดกลิ่นต่างๆ รวมไปถึงกลิ่นบุหรี่ให้หายไปได้
นอกจากจะช่วยป้องกัน และแก้ไขกลิ่นเหม็นอับต่างๆ แล้ว บางข้อยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์รถยนต์ให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย และที่สำคัญ คุณควรจะล้างแอร์ปีละ 1 ครั้ง ก็จะถือว่าดีที่สุดครับ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
สำหรับรถยนต์เกียร์ออโต้จะมีความจุกจิกมากกว่าเกียร์รถธรรมดา เพราะต้องใช้น้ำมันเกียร์เป็นตัวขับเคลื่อนภายในห้องเกียร์ จึงต้องหมั่นตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายตามคู่มือกำหนดหรือเปลี่ยนถ่ายก่อนได้ยิ่งดี แนะนำว่าควรเปลี่ยนถ่ายทุก 20,000 – 30,000 km. หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ 1 ครั้ง ของการถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งที่ 2 โดยปกติเกียร์รถยนต์จะมีอายุการใช้งานยาวนานนับ 10 ปี หรือมากกว่านี้แต่ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงรักษา
การถ่ายน้ำมันเกียร์จะไม่สามารถเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเก่าออกได้ 100% เป็นเพียงการทำให้เจือจาง (dilute) ลงเท่านั้นเอง เพราะน้ำมันเกียร์ส่วนที่เหลือจะตกค้างภายในชิ้นส่วนที่เรียกว่า ทอร์คคอนเวอร์เตอร์, ระบบเกียร์ภายใน, วาว์ลบอดี้ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายออกมาได้ทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่ถ่ายน้ำมันเกียร์ จะได้น้ำมันใหม่เข้าไปแทนของเดิมที่ถ่ายออกมาอัตราส่วนประมาณ 30/70 หรือ 40/60 เท่านั้น
หากคุณต้องการถ่ายน้ำมันเกียร์ออกให้หมดแบบเต็มระบบ พร้อมเปลี่ยน “ไส้กรองน้ำมันเกียร์” ทำความสะอาดชุด “โซลินอยด์” ต้องไปเข้าศูนย์หรืออู่ที่ช่างมีความชำนาญด้านเกียร์ เพราะต้องให้ช่างเปิดอ่างเกียร์ออกมาเพื่อล้างระบบภายในเท่านั้น
วิธีสังเกตอาการเกียร์เริ่มมีปัญหา
- เกียร์ตอบสนองช้า เข้าเกียร์ไปแล้วรถหยุดนิ่งสักพักก่อนเคลื่อนตัว
- มีอาการสะดุดเมื่อเปลี่ยนเกียร์
ขั้นตอนการถ่ายน้ำมันเกียร์ออโต้
- เตรียมน้ำมันเกียร์ ออโต้ ต้องเป็นสเปคเดิมเท่านั้น ลองเช็กที่ (คู่มือรถ)
- ใช้แม่แรงยกรถให้เอียงเล็กน้อย จะทำให้น้ำมันเกียร์ถ่ายออกมามากขึ้น
- ภาชนะ ที่รองรับน้ำมันเกียร์ (ควรหาแกลลอนที่มีตัวเลข บอกปริมาณน้ำมันที่ถ่ายออกมาได้) เพราะต้องใส่น้ำมันเกียร์ของใหม่กลับไปเท่าของเดิม
- ไขน็อตออกใช้ประแจแหวนเบอร์ 14, 19
- รอน้ำมันเกียร์ไหลออก จากนั้นไขน็อตกลับเข้าที่เดิม
- เติมน้ำมันเกียร์ ในปริมาณที่เท่ากับน้ำมันเก่าที่ถ่ายออกมา
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
14 ก.ค. 60 (18:19 น.) เปิดอ่าน 7,071 ความคิดเห็น 1 พิมพ์หน้านี้ ก ก
846
ถูกแชร์ทั้งหมด
แชร์เรื่องนี้
ทวีตเรื่องนี้
อีเมล์
more
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
Silkspan
สนับสนุนเนื้อหา
สำหรับรถยนต์เกียร์ออโต้จะมีความจุกจิกมากกว่าเกียร์รถธรรมดา เพราะต้องใช้น้ำมันเกียร์เป็นตัวขับเคลื่อนภายในห้องเกียร์ จึงต้องหมั่นตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายตามคู่มือกำหนดหรือเปลี่ยนถ่ายก่อนได้ยิ่งดี แนะนำว่าควรเปลี่ยนถ่ายทุก 20,000 – 30,000 km. หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ 1 ครั้ง ของการถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งที่ 2 โดยปกติเกียร์รถยนต์จะมีอายุการใช้งานยาวนานนับ 10 ปี หรือมากกว่านี้แต่ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงรักษา
การถ่ายน้ำมันเกียร์จะไม่สามารถเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเก่าออกได้ 100% เป็นเพียงการทำให้เจือจาง (dilute) ลงเท่านั้นเอง เพราะน้ำมันเกียร์ส่วนที่เหลือจะตกค้างภายในชิ้นส่วนที่เรียกว่า ทอร์คคอนเวอร์เตอร์, ระบบเกียร์ภายใน, วาว์ลบอดี้ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายออกมาได้ทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่ถ่ายน้ำมันเกียร์ จะได้น้ำมันใหม่เข้าไปแทนของเดิมที่ถ่ายออกมาอัตราส่วนประมาณ 30/70 หรือ 40/60 เท่านั้น
หากคุณต้องการถ่ายน้ำมันเกียร์ออกให้หมดแบบเต็มระบบ พร้อมเปลี่ยน “ไส้กรองน้ำมันเกียร์” ทำความสะอาดชุด “โซลินอยด์” ต้องไปเข้าศูนย์หรืออู่ที่ช่างมีความชำนาญด้านเกียร์ เพราะต้องให้ช่างเปิดอ่างเกียร์ออกมาเพื่อล้างระบบภายในเท่านั้น
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

หายสงสัยทำไมรถอับ!? 5 จุดภายในรถที่ถูกเมินและลืมทำความสะอาดมากที่สุด

รถยนต์เท่ห์ๆ ถือเป็นความภูมิใจอย่างนึงของหนุ่มๆ อย่างเรา ดูแลขัดสีฉวีวรรณให้เงาแว๊บ ปิ๊งปั๊ง ขับโฉบไปมาสาวๆ หนุ่มๆ พากันเหลียวหลังมอง แต่คุณรู้มั้ย?? มีบางจุดที่ถูกเมิน ไม่ใส่ใจและไม่ทำความสะอาดมันบ้างเลย ไม่ได้การณ์หละ แบบนี้เดี๋ยวสาวๆ จะหาว่าสวยแต่รูป จูบไม่หอม ไหนๆ จะทำให้รถเงาวิ๊ง ก้อต้องหันมาทำความสะอาดมันทุกซอกทุกมุมกันหน่อยหละนะ ไปดูๆ 5 จุดที่หลายๆ คนชอบเมินไม่ยอมทำความสะอาดจะมีจึดไหนกันบ้าง ดูแล้วสุดสัปดาห์นี้ก้ออย่าลืมดูแลกันน้าาาา
1.พรม
ใช่แว้วว อ่านไม่ผิดฮะ พรมนี่แหละที่หลายๆ คนมองข้าม บางคนอาจจะเถียงว่าล้างรถทุกครั้งก้อทำความสะอาดพรมนะ แต่คุณรู้มั้ย ส่วนพื้นใต้พรมหละทำความสะอาดกันรึเปล่า เอิ่ม!! จริงด้วยเนอะ ใต้พรมนี่แหละตัวเก็บฝุ่นและกลิ่นอับอย่างดีเลยทีเดียว วันไหนฤกษ์งามยามดี แวะไปให้ร้านรับทำความสะอาดพรมแบบมืออาชีพดูแลกันบ้าง 3 เดือนครั้งก้อยังดีนะฮะ เพื่อความสะอาดและสุขภาพของผู้ขับขี่เอง จะได้ไม่ต้องสูดฝุ่นเข้าปอดกันโน๊ะ
2. ที่เก็บของท้ายรถ
ถึงแม้ตรงนี้จะไม่มีคนนั่งก้อเถอะนะ แต่เราๆ ก้อมักจะขนนั่นขนนี้ใส่ท้ายรถตลอดไม่ใช่เหรอ รองเท้า, อุปกรณ์กีฬา, ของกินของใช้ต่างๆ นั่นแหละตัวการณ์ทำร้ายรถอย่างนึงเลย ลองนึกดู... คุณทำความสะอาดท้ายรถครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เคยเปิดมันออกมาดูแลจริงจังมั้ย T_T พรมปูท้ายรถมันถูกออกแบบมาให้ยกทำความสะอาดได้ง่ายสุดๆ อ้อ แต่อย่าลืมเช็ดคราบต่างๆ ใต้ฝายางสำรองที่อยู่ข้างใต้ด้วยหละ เพื่อความสะอาดเอี่ยมอ่องในทุกๆ จุด
3. ผ้าใต้หลังคารถ
มั่นใจเลยว่าร้อยละ 90 ไม่เคยทำความสะอาดผ้าใต้หลังคาเลย คุณรู้มั้ย...พื้นที่ตรงนี้เป็นตัดดักกลิ่นควันบุหรี่,กลิ่นอาหารได้ดีเลยทีเดียว คงไม่ดีแน่ๆ ถ้ารถสวยๆ มีกลิ่นอับหรือคราบสกปรก แต่หลายๆ คนมักจะมองข้ามมันไป แค่เอื้อมมือไปเช็ดมันหน่อยคงไม่เสียเวลาหรอกเนอะ เพียงใช้ผ้านุ่มๆ กับ Turtle wax เช็ดออก แค่นี้ก้อหมดกลิ่นกวนใจ แถมยังได้รถสวยๆ หอมๆ กลับมาอีก
4. ที่วางแก้ว
หลายคนแอบคิดว่า โอ๊ยย จะต้องเช็ดมันไปทำไม เดี๋ยวก้อวางแก้วน้ำทับมันไปหละ แต่ๆ คุณคิดผิดนะ คราบน้ำคราบเหียวๆ จากน้ำหวานนี่แหละตัวดี พอแห้งแล้วมันเป็นคราบเหนียวหนึบหนับทำความสะอาดยากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าขี้เกียจเลยนะฮะ มันทำความสะอาดง่ายม๊าก..มาก แค่ยกแผ่นยางรองมาล้างๆ เช็ดคราบภายในนิดหน่อย แค่เนี่ยมันก้อดูสะอาดเหมือนใหม่ แถมไม่มีคราบอะไรมาให้หงุดหงิดใจด้วย
5. เบาะ
เชื่อเลยว่าบางจุดคุณเมินมันไปแน่นอน ตะเข็บเล็กๆ ระหว่างเบาะและพื้นที่รอยต่อผนักพิงกับเบาะนั่ง นั่นแหละแหล่งสะสมคราบและเศษอาหารอย่างดีทีเดียว ว่างๆ ดูดฝุ่นตามรอยตะเข็บหรือใช้แปรงปัดคราบและเศษอาหารออกกันบ้างเนอะๆ จะได้สะอาดหมดจด ไร้คราบ ทุกๆ จุดกันไปเลย
เห็นมั้ยหละฮะ บางจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราปล่อยละเลยกันไป มันอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคดีๆ เลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้วคงต้องหาเวลาทำความสะอาดรถกันครั้งใหญ่ จะได้สะอาดเอี่ยม ไร้คราบ ไร้เชื้อโรค ขับผ่านใครๆ ก้อเหลียวหลัง ใครมานั่งรถก้อสูดอากาศสดชื่น ไม่ต้องทนสูดกลิ่นอับและเชื้อโรคเข้าปอด แหม่ๆ เห็นมั้ยว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัวแหนะ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host