"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
ถ้าเราขับรถชนคนเดินเล่น Pokémon GO ผิดไหม?

เปิดตัวมาแล้ว อาทิตย์กว่าๆแล้วกับโปเกมอน โก เป็นอย่างไรบ้างเหล่าโปเกมอนโกเทรนเนอร์ เลเวลเท่าไหร่กันแล้ว? โปเกมอน การ์ตูนขวัญใจของเด็กๆ ยุค 90 จนถึงเด็กๆ ยุคปัจจุบัน เพราะการผจญภัยตามล่าโปเกมอนที่น่าติดตามของซาโตชิและก๊วนเพื่อนและตัวการ์ตูนที่น่ารักอย่างเช่น ปิกาจูและผองเพื่อน เมื่อมาเป็นเกมโปเกมอน โกแล้วจึงเรียกเสียงฮือฮาได้ทั่วโลก ทุกวันนี้ที่เมืองไทย ไม่ว่าไปไหนก็เจอคนก้มหน้าก้มตาจับโปเกมอน

     อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมขับรถไปลงประชามติมา ด้วยความที่วันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อน ผมจึงนอนตื่นสาย ตื่นมาประมาณเกือบเที่ยง กว่าจะอาบน้ำกินข้าว รู้ตัวอีกที คูหาเกือบปิด! ผมเลยรีบบึ่งไปลงประชามติ ช่วงเวลาฉุกละหุกนั้น ผมดันเจอคนก้มหน้าเล่นโปเกมอน โกเดินข้ามถนน ตอนไฟข้ามถนนเป็นสีแดงคร้าบบบบ ผมเกือบชนโปเกมอนเทรนเนอร์ตายแล้ว!! ผมหงุดหงิดมากเลย ผมขับรถดีๆ เจอเทรนเนอร์เดินไม่ดูทาง ถ้า ผมชนไปจริงๆ แล้วใครผิดกันล่ะนี่!

     ผมกลับมาคิดๆ ดูแล้ว ผมผิด! ขับรถชนคน ไม่ว่าอย่างไรรถก็ผิด! ใช่แล้ว โลกไม่เท่าเทียม โชคดีนะที่ ผมทำประกันรถยนต์ชั้นไว้ ถึงแม ผมจะผิดแต่ประกันก็จ่ายค่ารักษาเทรนเนอร์ (ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก)  แต่จ่ายเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับประกันแต่ละประเภทที่เราซื้อไว้ ส่วนใหญ่คุ้มครอง 1 ล้านบาท และ 500,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 ต่อครั้ง

     หมายความว่า ถ้าเราขับรถชนเทรนเนอร์ ถ้าเขาบาดเจ็บ ประกันจะจ่ายค่ารักษาตามจริงให้ แต่ถ้าเขามีอันตรายถึงชีวิต ประกันก็จะต้องจ่ายตามมูลค่าชีวิตของเขาคนนั้นโดยให้ศาลเป็นคนประเมินมูลค่าชีวิตให้

     โอโห ฟังแล้วก็เหนื่อยเลย ถ้าขับรถชนเทรนเนอร์มีเเต่เรื่องวุ่นวายทางที่ดีเราต้องตั้งใจขับรถนะ ไม่ควรจับโปเกมอนระหว่างขับรถ มองทางดีๆ เพราะตอนนี้เหล่าเทรนเนอร์เขาจริงจังเหลือเกิน



     ข้อมูลจาก:  https://www.frank.co.th/
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

สัญญาณอันตราย น้ำมันใต้ท้องรถ
การดูแลรักษารถยนต์ นอกจากจะต้องใส่ใจ ตรวจเช็กระยะให้ตรงตามกำหนดแล้ว คุณยังต้องช่างสังเกตอีกด้วย เพราะบางครั้งการสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น คราบน้ำมันบนพื้นที่จอดรถของคุณ ก็อาจช่วยคุณได้ทันเวลา
เนื่องจากหากพบความผิดปกติช้าเกินไป มันอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ของคุณบางส่วน หรือทั้งระบบก็ได้ แถมยังต้องเปลืองเงินซ่อมเมื่อตอนที่สายไปอีกด้วย เอาเป็นว่า หากพบเจอคราบน้ำมันที่พื้น ให้สังเกตดูว่า น้ำมันเหล่านั้นมีสีอะไร เพราะเครื่องยนต์แต่ละส่วนใช้น้ำมันหล่อลื่นไม่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่น มาดูกันก่อนดีกว่าว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไรได้บ้าง
สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำมันหยดรั่ว
1. ซีลยางต่างๆ เสื่อมสภาพ เนื่องจากอายุการใช้งาน
2. เกิดเหตุจากการใช้งาน เช่น ครูด กระแทก ใต้ท้องรถ ฯลฯ
3. การดัดแปลงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน และขันน็อตยึดต่างๆ ไม่แน่น
จุดสังเกตุอีกอย่างที่จะทำให้เรารู้ว่า น้ำมันที่หยดลงพื้นเป็นอะไรก็คือ ตำแหน่งของห้องเครื่องรถเรานั่นเอง ซึ่งโดยปกติทั่วไปตามรถตลาดบ้านเรา สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ถ้ามีรอยหยดอยู่ทางด้านขวาของรถ (ฝั่งคนขับ) ให้คิดไว้เลยว่าน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรก แต่ถ้าเป็นทางด้านซ้าย (ฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ) ก็อาจเป็นพวกระบบส่งกำลัง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันเพาเวอร์ และหากเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ตำแหน่งต่างๆ ตามที่กล่าวมา จะอยู่ในแนวเดียวกันตรงกลาง ทำให้แยกปัญหายากกว่าเดิม ดังนั้นจึงต้องสังเกตสีน้ำมันที่หยดแทน
สีน้ำมันที่หยดลงพื้นคืออะไร
1. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ อาจเป็นน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรก
2. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีแดงใส อาจเป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ หรือน้ำมันเพาเวอร์
3. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ มีความเหนียวหนืดมากกว่าปกติ อาจเป็นน้ำมันเกียร์ธรรมดา
4. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ มีความเหนียวหนืดมากกว่าปกติ อาจเป็นน้ำมันเฟืองท้าย
หากพบเจอน้ำมันหยดใต้ท้องรถตามนี้แล้ว ให้เช็กอาการดูให้ดี แม้บางครั้งจะหยด หรือรั่วน้อยก็ยังสามารถขับต่อไปได้ แต่ถ้าเกิดขับๆ อยู่แล้วรั่วเป็นน้ำก๊อก เสียหายมากกว่านั้นขึ้นมา มันไม่คุ้มค่าแน่นอน ทางที่ดีเข้าอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการดีกว่า เพื่อตรวจเช็กให้ละเอียด จะได้ซ่อมแซม แก้ไขได้ทัน ไม่อย่างนั้นแทนที่จะซ่อมแค่จุดเดียว อาจลามไปทั้งหมด หรือแย่สุดๆ ต้องเปลี่ยนยกเครื่องใหม่ไปเลยก็ได้
และอีกอย่างที่ต้องระวังไม่แพ้กันก็คือ น้ำมันเชื้อเพลิง เพราะถ้าหากรั่วขึ้นมา อันตรายมากกว่าแน่ๆ ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถสังเกตได้ง่าย เพราะกลิ่นจะเด่นชัดที่สุด หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นมากผิดปกติ ควรรีบจอดข้างทางแล้วดับเครื่องทันที และอย่าทำให้เกิดประกายไฟ หรือความร้อน จากนั้นติดต่อศูนย์บริการให้ไวที่สุด เพื่อนำรถไปตรวจสอบให้ละเอียด ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วได้อย่างไร
http://auto.sanook.com/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีรับมือเมื่อรถยางแตก – ระเบิด ขณะขับรถ
ทุกวันนี้การขับขี่บนท้องถนน มักมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความประมาท ซึ่งหากไม่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง ก็อาจเป็นเพราะคนอื่น โดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และบางครั้งมันก็อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้งานแบบไม่ทันตั้งตัว อย่างเช่น ยางแตก ยางระเบิด
โอกาสที่จะเกิด ยางแตก ยางระเบิด ถือว่ามีน้อยมากกว่าการเกิดอุบัติเหตุประเภทอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย และถ้ามันเกิดขึ้น ในขณะที่คุณขับรถมาด้วยความเร็ว จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคุณคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่ถ้ามันสุดวิสัย เกิดขึ้นมาจริงๆ ล่ะ คุณจะทำยังไง?
เอาเป็นว่า มาดูวิธีรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน ยางแตก ยางระเบิด เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดกันดีกว่า
1. ควบคุมสติของตนเอง อย่าตื่นตกใจเกินไป เพราะหากคุณควบคุมสติได้ดี เปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยก็จะมีมากขึ้น
2. ใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับพวงมาลัยให้แน่น และมั่นคง เพื่อประคองรถให้กลับมาอยู่ในเลน เพราะรถอาจเกิดอาการส่ายไปมาจากแรงระเบิด บวกกับความเร็วที่ใช้อยู่ในขณะนั้น
3. มองดูกระจกหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ และเปิดไฟฉุกเฉิน (ห้ามดึงเบรกมือเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถหมุนกลางถนน)
4. กดเบรคแต่ไม่ต้องแรงมาก ค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ กดลงไป เพราะหากกดเบรคแรงๆ อาจทำให้รถหมุนได้ (ในรถเกียร์ธรรมดา ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้รถไม่เกาะถนน ควบคุมได้ยากขึ้น จนอาจเสียหลักได้)
5. เมื่อความเร็วลดลงแล้ว ให้ประคองรถเข้าไหล่ทางด้านซ้าย (ระวังรถที่ขับตามหลังมาด้วย)
6. เมื่อสามารถควบคุมรถได้แล้ว ให้จอดบริเวณที่ปลอดภัย (ไหล่ทางที่กว้างพอ เพื่อไม่ให้รถที่ขับมาจากด้านหลังเฉี่ยว ชน ฯลฯ)
และหลังจากจอดรถเข้าข้างทางเรียบร้อย สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือ เปลี่ยนยางเส้นที่แตกด้วยยางอะไหล่ หรือถ้าไม่มียางอะไหล่สำรอง ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น เพื่อนร่วมทาง, ครอบครัว, รถยก, รถลาก ฯลฯ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์เกิดแตก หรือระเบิดขึ้นมา มีหลายอย่าง แต่หลักๆ จะมีดังนี้
1. บรรทุกของจนน้ำหนักเกินมาตรฐานมากเกินไป
2. ลมยางอ่อนมากเกินไป เพราะแรงดันลมยางที่อยู่ภายในยางมีน้อย จึงทำให้ยางรถผิดรูป ไม่กลมแบบที่ควรจะเป็น
3. หลุม บ่อ ถนนพัง ที่มีอยู่ทั่วไปบนท้องถนนเมืองไทย
4. ไม่ได้ดูแล ตรวจสภาพยางรถยนต์ จนยางเสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน
สุดท้ายนี้ ขอย้ำเตือนเลยว่า สติ สำคัญที่สุดในกรณีที่เกิด ยางแตก ยางระเบิด และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น คุณสามารถทำได้ด้วยการ ตรวจเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ คอยสังเกต คอยดูว่ายางมีปัญหา หรือมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงกับอันตรายแบบนี้
http://auto.sanook.com/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ยิ่งในกรณีของรถที่ได้รับความชื้นนาน ๆ อาจมีเชื้อราขึ้นตามเบาะ เพดานหลังคา พรมปูพื้น ช่องเก็บของท้ายรถ วัสดุหุ้มพวงมาลัย คอนโซล และที่มองไม่เห็นคือในระบบปรับอากาศ วิธีกำจัดเชื้อราในรถยนต์ที่จะนำมาบอกกล่าวกินในวันนี้ คือ การใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูปลอม) ซึ่งมีกรดอะซิดิกหรือกรดน้ำส้มประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นำมาใส่ในกระบอกฉีดพ่นละอองน้ำที่สะอาดจอดรถในที่โล่งห่างไกลคน และมีการระบายอากาศที่ดีเปิดประตูออกทั้งหมด
ขณะทำความสะอาดให้สวมหน้ากากกันฝุ่นชนิดที่กรองสปอร์ของเชื้อรา ฉีดพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูไปตามบริเวณที่มีราขึ้นภายในรถ ฉีดให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ ต้องระวังอย่าสูดดม หรือให้ปลิวเข้าตา ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจะฆ่าเชื้อรา และจะระเหยหมดไปเองโดยไม่มีสารตกค้าง เมื่อระเหยหมดแล้วอาจฉีดสเปรย์ซ้ำอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าฆ่าเชื้อราได้อย่างสิ้นซาก!!! ถ้าเห็นว่ามีคราบเชื้อราที่ตายแล้วติดอยู่ตามพื้นผิวก็ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดออกและทิ้งผ้านั้นไป ถ้าเป็นเผ้ากำมะหยี่อาจต้องใช้แปรงพลาสติคขัดและใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก ควรสวมหน้ากากกันฝุ่นตลอดเวลา เพราะเศษซากของเชื้อราที่ตายแล้วถ้าหายใจเข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกนี้ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้น หรือเชื้อราเกิดขึ้นที่อื่นที่มองไม่เห็นหรือไม่ เพราะความชื้นจะค่อย ๆ ออกมา เชื้อราจะใช้เวลา 24-50 ชั่วโมงในการเจริญเติบโต ถ้าขึ้นอีกให้ทำซ้ำในวิธีการเดิม ในช่วงนี้อาจจะต้องนำรถไปจอดตากแดดเพื่อไล่ความชื้นอาจใช้ไดร์เป่าผมช่วยเป่าอีกแรง สำหรับการทำความสะอาดวัสดุที่ผิวแข็ง
สุดท้ายสิ่งสกปรกในรถยนต์ ใช้ว่าจะมีเพียงแต่ตาเห็น! หรือมองไม่เห็นใช่จะหมายความว่าไม่มี ทางที่ดีป้องกันไว้ หมั่นทำความสะอาดภายในห้องโดยสาร อย่าให้ความสำคัญกับความสวยงามภายนอกเพียงอย่างเดียวเพราะมันอาจหมายความถึงโรคหรืออาการทรมานไม่มีที่สิ้นสุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือยานยนต์
ปีที่ 46 เล่มที่ 577 มิถุนายน 2557
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

สำหรับคำถามที่ว่า "ไรฝุ่นทำให้เกิดภูมิแพ้ได้อย่างไร ?" คำตอบคือ คนที่แพ้ไรฝุ่น หมายถึงคนที่มีปฏิกิริยาต่อโปรตีนในตัวและในมูลของไรฝุ่นที่ตายแล้ว โปรตีนดังกล่าวจะมีผลเสียต่อทางเดินหายใจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด อีกทั้งยังทำให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคผิวหนังอักเสบมีอาการของโรคมากขึ้น
ซึ่งตัวไรฝุ่นที่ตายแล้วจะมีโปรตีนจำนวนมาก เมื่อเราสูดลมหายใจ หรือผิวหนังของเราสัมผัสกับตัวไรฝุ่นที่ตาย ร่างกายองเราก็จะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ภูมิต้านทานนี้จะปล่อยสารเคมี ซึ่งทำให้เกิดการบวมและการระคายเคืองของทางเดินหายใจตอนต้น นั่นก็คืออาการของโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด ที่สำคัญคือ โรคภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย
วิธีที่จะป้องกันไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการทำความสะอาดผิวสัมผัสต่าง ๆ ในห้องโดยสารแล้ว ยังต้องทำความสะอาดดูแลรักษาระบบปรับอากาศในรถยนต์ด้วย โดยเฉพาะตู้แอร์ ที่ใครหลายคนบอกว่า "มันคือแหล่งซ่องสุมเชื้อโรค" ไรฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย ยุ่บยั่บไปหมด
บริการคาร์แคร์ต่าง ๆ หรือร้านแอร์จึงต้องมีบริการล้างตู้แอร์และฆ่าเชื้อโรคเหล่นี้ ปีละ 1 ครั้งก็ยังดี เพราะฝุ่นจากภายนอกจะเข้ามาในระบบปรับอากาศทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ก็ยิ่งสุดฝุ่นสะสมเข้าไปในร่างกายมากขึ้น รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ โรคภูมิแพ้หวัดเรื้อรัง
เชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบความชื้นเป็นพิเศษ วันไหนรถเจอน้ำเจอฝน ลืมปิดกระจก รถมีรอยรั่วซึมจนน้ำเล็ดลอดเข้ามาสร้างความชื้นสะสมได้ หรือการขับรถลุยน้ำ ก็จะต้องโดนความชื้น และตามมาด้วยเชื้อราถ้าไม่รับทำความสะอาด
การกำจัดเชื้อราสำหรับพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่ยากอะไร ไล่ความชื้นตากแดดปล่อยให้ลมโกรกหลังทำความสะอาด เท่านี้ก็ไล่เจ้าตัวร้ายไปได้ แต่ถ้าเป็นในห้องโดยสารรถยนต์ที่มีซอกมุม ต้องถอดรื้อออกมาทำความสะอาดกันยกใหญ่
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ห้องโดยสารสกปรก ส่งผลร้ายมากกว่าที่คุณคิด
ห้องโดยสารรถยนต์เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ย่อมต้องมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ทั้งบริเวณเบาะนั่ง คอนโซล แพงประตู ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และเป็นหน้าที่โดยปกติเช่นกันที่เจ้าของรถจะต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
แต่ถึงกระนั้นผู้ที่ใช้รถทุกวันจะให้มานั่งเช็ดถูทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ก็คงไม่มีเวลา (บางท่านนาน ๆ กว่าจะล้างรถสักที) หรือแม้แต่พฤติกรรมของคนที่ไม่ใส่ใจรักษาความสะอาดปล่อยให้ฝุ่นจับหนาหรือมีกลิ่นอับ ท่านเหล่านั้น จะทราบหรือไม่ว่า...สิ่งสกปรกที่สัมผัสหรือที่เห็นอยู่รอบตัวในห้องโดยสารสามารถส่งผลเสียต่อสุภาพของผู้โดยสารมากกว่าที่คิด
สิ่งสกปรกที่จะอยู่ในห้องโดยสารหลัก ๆ แล้วก็คือ "ฝุ่น" เกิดขึ้นได้ง่ายจากการเล็ดลอดมาทางระบบปรับอากาศ หรือแค่เพียงเปิดประตู หน้าต่าง ด้วยขนาดที่เล็กมาก ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ฝุ่นจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องโดยสาร และเจ้าฝุ่นที่ว่านี้ ไม่ได้มาแค่เพียงหนึ่งเดียว ยังพาเพื่อนตัวน้อย ๆ ติดสอยห้อยตามมาด้วย ท่านทั้งหลายพอจะเดาออกมั้ยครับว่าฝุ่นมากับใคร? ถ้ายังคิดไม่ออก บอกให้เลยก็ได้ว่า มากับ "ไรฝุ่น" ไงครับ...!!!
"ไรฝุ่น" มันคืออะไร? ใช่แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ดูจากชื่อแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไร แต่ที่ไหนได้ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ มันคือของแสลงที่สุด ไรฝุ่นเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นสัตว์จำพวกแมลงแต่มีลักษณะคล้ายกับแมงมุมเห็บ หมัด มีขา 8 ขา ขนาดของไรฝุ่นจะวัดได้ 1 ส่วน 100 ของความยาวที่เป็นนิ้ว ซึ่งเทียบแล้วคือเล็กกว่าหัวปากกาลูกลื่นที่จุดลงบนกระดาษเสียอีก อาหารของไรฝุ่น คือ เซลล์ผิวหนังของคนและสัตว์เลี้ยงที่หลุดลอกออกมา
ผิวหนังของคนนั้นโดยทั่วไปจะหลุดลอกวันละประมาณ 1.5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวไรฝุ่นให้เจริญเติบได้เป็นอย่างดี นอกจากอาหารที่ได้จากคน ไรฝุ่นยังอาศัยพวกใยผ้าและขนสัตว์กินเป็นอาหารได้ด้วย ไรฝุ่นมีตา หายใจทางผิวหนัง ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่อุ่น ขึ้น และเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เช่น หมอนที่นอน พรม และเฟอร์นิเจอร์ผ้า เป็นสถานที่เหมาะที่สุดสำหรับครอบครัวไรฝุ่น
ภายในห้องโดยสาร วัสดุที่ทำจากผ้าไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งกำมะหยี่ ผ้าบุแผงประตู เพดานห้องโดยสาร ฯลฯ จุดด่าง ๆ เหล่านี้ หากเราปล่อยให้มีสิ่งสกปรกสะสมมาก ๆ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ เศษใบไม้ รถของเราก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อให้กับ "โรคภูมิแพ้" ไปโดยปริยาย
โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์มีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายของเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ฯลฯ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค สำหรับโรคภูมิแพ้นั้น เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ Allergen จากสิ่งแวดล้อม
ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นโรคที่เกิดจาก "ปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้" ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE Antibody ตัว Antibody นี้จะกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ เช่น ลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูกแน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืดบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวแสบอันดับต้น ๆ มีที่มาจาก "ไรฝุ่น" นั่นเอง
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

10 สัญญาณบอกเหตุเบรกมีปัญหา

“เบรก” มีปัญหา หลายคนอาจมีความเชื่อเรื่องจิตสัมผัสลางบอกเหตุ หรือลางสังหรณ์ เวลาที่จะมีภัยหรือมีเรื่องร้ายเข้ามาใกล้ตัว บ้างก็บอกว่ารู้สึกแล้วต้องรีบแก้เคล็ด ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ แต่เรื่องที่เราจะคุยกันในวันนี้ ถ้าพูดแบบภาษาที่พวกช่างชอบใช้กันก็คือ ถ้าคุณสังเกตหรือเจออาการตามที่บอกมา แล้วไม่รีบแก้ไขล่ะก็ ภัยมาถึงตัวคุณแน่ ๆ

          1. เบรกดัง

          อาการ : มีเสียงดังขณะเบรกให้สังเกตว่าดังมาจากจุดใด ดังทุกล้อ หรือแค่ล้อใดล้อหนึ่ง ถ้าดังเป็นคู่ เช่น คู่หน้าหรือหลัง ส่วนใหญ่เกิดจากผ้าเบรกและจานเบรกที่อาจจะหมดแล้วเสียดสีกัน

          แต่ถ้าดังบางจุด อาจเกิดจากมีฝุ่นหรือหินหลุดเข้าไปเสียดสีระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรก จึงควรตรวจสอบและแก้ไข บางกรณีก็อาจเกิดจาการใช้ผ้าเบรกที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน ทางที่ดีควรเลือกใช้ผ้าเบรกจากโรงงานหรือยี่ห้อที่มีมาตรฐานเท่านั้น

          2. เบรกสั่น

          อาการ : เหยียบเบรกเบา ๆ แล้วแป้นเบรกสั่นขึ้น-ลง ระยะเริ่มแรกจะส่งอาการมาเบา ๆ ที่แป้นเบรก แต่ถ้าเยอะมาก ๆ อาจรู้สึกสั่นถึงพวงมาลัย หากปล่อยไว้ถึงชั้นรุนแรงอาจสั่นสะท้านไปทั้งคัน สาเหตุเกิดจากจานเบรกคดบิดตัว สึกหรอไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อใช้งานอย่างรุนแรงเกินไป หรือจานเบรกไม่ได้มาตรฐาน สาเหตุอื่น ๆ เช่น เบรกความร้อนสูงแล้วลุยน้ำ อาการนี้เกิดได้ทั้งระบบดิสก์เบรกและดรัมเบรก ควรไปตรวจเช็คและเจียรจานเบรก

        3. เบรกทื่อ

          อาการ : เหยียบเบรกแล้วรู้สึกไม่ค่อยอยู่ จะรู้สึกเบรกแข็ง ๆ ต้องออกแรงเหยียบเบรกมากกว่าปกติ อาการเบรกตื้อ ๆ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หม้อลมเบรกเริ่มรั่วซึมจากชุดผ้าใบภายในหรือวาล์ว PVC หรือ Combo Vale เสีย ทำให้แรงสุญญากาศของหม้อลมน้อย สำหรับรถเครื่องยนต์ดีเซล อาจเป็นที่ปั๊มสุญญากาศที่บริเวณตูดไดชาร์จเสียรวมทั้งสายลมรั่ว เป็นต้น ควรรีบแก้ไขโดยด่วน

          4. เบรกจม

          อาการ : เหยียบเบรกแล้วแป้นเบรกจมลงต่ำกว่าปกติ หากเหยียบค้างไว้แล้วแป้นเบรกค่อย ๆ จมลง ๆ นั่นเป็นอาการของเบรกจมบ้างก็เรียกเบรกต่ำ ส่วนมากเกิดจากลูกยางแม่ปั๊มเบรกตัวบนสึกหรอ หรือบวม ทำให้แรงดันเบรกลดลง ต้องออกแรงเบรกมากขึ้น หรือทำให้ต้องย้ำเบรก ควรรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะสิ่งที่จะตามมาคือเบรกแตก!!!

          5. เบรกแตก

          อาการ : เหยียบเบรกแล้วแป้นจมเบรกไม่ทำงาน มีหลายสัญญาณที่จะเตือนผู้ใช้ก่อนเกิดอาการเบรกแตก หากละเลยใช้งานจนเกิดปัญหาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการเมื่อกดแป้นเบรกจนสุดถึงพื้นรถ หรือนุ่มหยุ่น ๆ ก่อนแล้วจมลงติดพื้น แต่รถยังคงไม่ลดความเร็ว เหมือนไม่มีเบรก สาเหตุอาจมาจากการรั่วของน้ำมันเบรก ท่อทางระบบเบรกแตก หรือน้ำมันเบรกรั่วซึมมาเป็นเวลานาน ลูกยางแม่ปั๊มเบรก และตัวแม่ปั๊มเบรกเสียหายจนน้ำมันเบรกรั่วไหลออกจนหมด หรืออาจเกิดจากชิ้นส่วนของระบบเบรกหลุดหลวม หรือเกิดจากสายอ่อนเบรกแตกการลดความเร็วอย่างปลอดภัยขึ้นอยู่กับความเร็วของรถและเส้นทางขณะที่เกิดเหตุ การค่อย ๆ ลดตำแหน่งเกียร์ควบคู่ไปกับการค่อย ๆ ดึงเบรกมือ (ที่เป็นเบรกมือแบบสาย แบบไฟฟ้าห้ามใช้) จะช่วยลดความเร็วลงได้
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

4 เทคนิคเลี่ยงใบสั่งจับความเร็ว ได้ผลชัวร์!
รถยนต์รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน ถูกพัฒนาให้สามารถขับด้วยความเร็วสูงได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทาง กฎหมายก็ยังคงจำกัดความเร็วไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด
จึงขอแนะเทคนิค 4 ข้อที่ช่วยให้รอดพ้นจากเครื่องตรวจจับความเร็วได้ จะมีอะไรบ้าง?
1.รู้จักกฎหมาย
ปัจจุบันพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับ 8 พ.ศ. 2551 กล่าวโดยสรุปได้ว่า รถยนต์ส่วนนั่งบุคคลให้ใช้ความเร็วในเขตเมืองไม่เกิน 80 กม./ชม. นอกเมืองไม่เกิน 90 กม./ชม. แต่สำหรับถนนบางเส้นได้มีการอนุโลมให้ใช้ความเร็วได้มากขึ้น เช่น ถนนมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 120 กม./ชม. ทางด่วนและทางพิเศษบูรพาวิถีไม่เกิน 110 กม./ชม. เป็นต้น
2.รู้จักตำรวจ
หากเป็นเส้นทางที่เราคุ้นเคยและใช้เป็นประจำ ก็คงพอจะทราบว่ามีการตั้งกล้องจับความเร็ว หรือตั้งจุดสกัดเอาไว้ช่วงไหนบ้าง แต่ในกรณีที่ต้องใช้เส้นทางที่ไม่ชำนาญ ก็อาจลองค้นดูในกูเกิ้ลเอาก็ได้ ว่าถนนเส้นที่จะวิ่งนั้น มีการจับความเร็วตรงจุดไหนบ้าง ทางที่ดีควรเช็คข้อมูลที่ค่อนข้างอัพเดตนิดนึง เพราะคุณตำรวจมักมีการย้ายจุดตรวจอยู่บ่อยครั้ง
3.รู้จักสังเกต
การขับรถทางไกล หากเป็นคนรู้จักสังเกต ก็จะพบว่ารถที่วิ่งอยู่รอบข้างคุณนั้น (โดยเฉพาะรถบรรทุก) มักมีการส่งสัญญาณให้กันไปมาอยู่เรื่อยๆ เช่น ถ้ามีการกระพริบไฟสูงจากรถที่สวนมา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าข้างหน้ามีด่านตรวจตั้งอยู่ หรือรถที่เพิ่งแซงเราไปด้วยความเร็วสูง จู่ๆก็ลดความเร็วลงต่ำกว่าปกติ อาจแปลได้ว่าเป็นรถเจ้าถิ่นที่รู้ตำแหน่งของกล้องจับความเร็วนั้นเอง
4.รู้จักปฏิบัติตามกฎหมาย
ไหนๆถ้าขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดมันลำบากนัก ก็ใช้ความเร็วไม่เกินกฎหมายเสียเลยดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เครียดแล้ว ยังไม่ต้องห่วงว่าจะโดนใบสั่งส่งตรงไปถึงหน้าบ้าน หรือต้องลงไปเจรจากับคุณตำรวจให้เสียเวลา
ทั้งนี้ เราไม่สนับสนุนให้คุณผู้อ่านทำผิดกฎหมายแต่อย่างใดนะครับ ยกเว้นเสียแต่มีความจำเป็นจริงๆ ก็พอใช้เทคนิคเหล่านี้หลีกเลี่ยงได้นั่นเอง

http://auto.sanook.com/54167/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

5 สิ่งเข้าใจผิดที่ทำให้เปลืองน้ำมันโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าราคาน้ำมันในช่วงนี้จะค่อนข้างถูก สามารถเติมเต็มถังได้อย่างสบายใจ แต่จะดีแค่ไหนถ้าสามารถขจัดความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1.ปล่อยไหลเกียร์ว่าง กินน้ำมันมากกว่า!
หลายคนเข้าใจผิดว่าการปลดเกียร์ว่างแล้วปล่อยไหลให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ด้วยแรงเฉื่อย จะช่วยเซฟน้ำมันได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เนื่องจากการขับขี่ในตำแหน่งเกียร์ D ตามปกตินั้น หากมีการปล่อยคันเร่ง หัวฉีดจะตัดการจ่ายน้ำมันทันที
แต่หากผลักคันเกียร์ไปตำแหน่ง N แล้วปล่อยไหลล่ะก็ หัวฉีดจะมีการจ่ายน้ำมันในปริมาณเทียบเท่ากับการจอดรถสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้ง ไว้เฉยๆ ซึ่งแน่นอนว่ากินน้ำมันมากกว่า แถมยังจะทำให้ชุดเกียร์ออโต้เกิดความเสียหายอีกด้วย
2.น้ำมันเครื่องน้อย เครื่องยนต์แรงกว่า
ทางที่ดีน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ควรอยู่ในระดับปกติ ไม่ควรต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป หากน้ำมันเครื่องในระบบมีมากเกิน ก็จะทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ได้ช้าลง ทำให้เครื่องอืดแถมกินน้ำมัน แต่หากมีน้ำมันในปริมาณน้อยเกิน ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพการหล่อลื่น ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
3.ยิ่งขับช้ายิ่งประหยัด
หลายคนเข้าใจผิดว่ายิ่งขับรถช้าลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประหยัดน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง หากขับรถทางไกลด้วยความเร็วช้าจนเกินไป (เช่น 50-60 กม./ชม.) กลับจะทำให้กินน้ำมันมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้เกียร์สูงสุดในการขับเคลื่อน รวมถึงอาจยังมีการเปลี่ยนเกียร์ไปมาในจังหวะเหยียบคันเร่ง ซึ่งยิ่งทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก ทางที่ดีควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมประมาณ 90-100 กม./ชม. จะได้ความประหยัดมากกว่า
4.ใส่สารแต่งเติมลงในเครื่องยนต์
สารแต่งเติมประเภท Fuel Additive หรือที่เรียกกันติดปากว่า 'หัวเชื้อ' นั้น แทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลย เนื่องจากยังไม่มีผลการทดสอบยืนยันจากหน่วยงานมาตรฐานที่ระบุว่าช่วยลดอัตรา สิ้นเปลืองได้จริง แถมหากเป็นสารหล่อลื่นสำหรับเติมในเครื่องยนต์ (Lubricant Additive) เหล่านี้มักก่อให้เกิดคราบเหนียว (Tar) ที่ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก แถมยังลดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ด้วย เสียเงินเพิ่มขึ้นโดยเปล่าประโยชน์
5.เติมลมยางมาก/น้อยกว่ามาตรฐาน
การเติมลมยางมากเกินไป จะทำให้หน้าสัมผัสยางกับถนนลดน้อยลง แม้จะได้ความประหยัดเพิ่มขึ้น (จิ๊ดเดียว) แต่ก็ต้องแลกกับการยึดเกาะถนนที่น้อยลงด้วย แต่หากลมยางอ่อนเกินไป ก็จะทำให้เกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนมากขึ้น ทำให้เปลืองน้ำมันมากขึ้น ทางที่ดีควรเติมลมยางตามมาตรฐานก็พอ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ยอดขายรถยนต์พฤษภาคม 2016 เพิ่ม 16% เป็นบวกสองเดือนติด สัญญาณดีตลาดฟื้น
ยอดขายรถยนต์พฤษภาคม 2016 ขาย 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0% เป็นบวกต่อเนื่องสองเดือนติด สะสม 5 เดือนขาย 302,581 คัน ลดลง 2.0%
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2559 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0%
- รถยนต์นั่ง 25,050 คัน เพิ่มขึ้น 8.3%
- รถเพื่อการพาณิชย์ 40,985 คัน เพิ่มขึ้น 21.2%
- รถกระบะขนาด 1 ตัน 33,549 คัน เพิ่มขึ้น 29.8%
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนพฤษภาคม 2559
ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 22,307 คัน เพิ่มขึ้น 23.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.8%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,757 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 19.3%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 9,812 คัน เพิ่มขึ้น 10.6% ส่วนแบ่งตลาด 14.9%
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 25,050 คัน เพิ่มขึ้น 8.3%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 8,896 คัน เพิ่มขึ้น 19.6% ส่วนแบ่งตลาด 35.5%
อันดับที่ 2 ฮอนด้า 7,177 คัน เพิ่มขึ้น 18.4% ส่วนแบ่งตลาด 28.7%
อันดับที่ 3 มาสด้า 2,230 คัน เพิ่มขึ้น 13.5% ส่วนแบ่งตลาด 8.9%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 33,549 คัน เพิ่มขึ้น 29.8%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 12,842 คัน เพิ่มขึ้น 32.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.3%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 11,649 คัน เพิ่มขึ้น 19.1% ส่วนแบ่งตลาด 34.7%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 2,950 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 8.8%
ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 4,645 คัน
โตโยต้า 1,832 คัน
มิตซูบิชิ 1,203 คัน
อีซูซุ 1,100 คัน
ฟอร์ด 460 คัน
เชฟโรเลต 50 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 28,904 คัน เพิ่มขึ้น 22.4%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 11,010 คัน เพิ่มขึ้น 20.6% ส่วนแบ่งตลาด 38.1%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 10,549 คัน เพิ่มขึ้น 20.2% ส่วนแบ่งตลาด 36.5%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,279 คัน เพิ่มขึ้น 30.5% ส่วนแบ่งตลาด 7.9%
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 40,985 คัน เพิ่มขึ้น 21.2%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 13,411 คัน เพิ่มขึ้น 26.9% ส่วนแบ่งตลาด 32.7%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,757 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 31.1%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 2,950 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 7.2%
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อีกทั้งเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์นั่งครั้งแรกในรอบ 36 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2556
และที่น่าสนใจคือยอดขายรถทุกกลุ่ม โตโยต้า กลับมาครองแชมป์ได้ทั้งหมดอีกครั้งหลังจากที่ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเสียแชมป์ให้ฮอนด้ามาหลายเดือน กลุ่มกระบะเองก็โดนอีซูซุเบียดแซงอยู่อยครั้งครับ
http://car.kapook.com/view151284.html
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host