"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่จากเดิมเก็บภาษีจากราคาหน้าโรงงานเปลี่ยนเป็นเก็บจากราคาขายปลีกหรือราคาแนะนำ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ใน วันที่ 1 ส.ค. 2560 และอาจมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาขายรถยนต์

"ความชัดเจนในการปรับราคาขึ้นหรือลงจากผลของการเปลี่ยนแปลงการคิดคำนวณราคาใหม่นั้นยังเร็วไปที่จะบอกได้ ซึ่งจะต้องพิจารณาจากอัตราใหม่และการสนับสนุนของรัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดผล กระทบสำหรับภาระต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงต่อผู้บริโภค" นายเกรเว่ กล่าว

สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมในปี 2560 มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นมากกว่าปี 2558 ที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 2.3 หมื่นคัน ขณะที่ปี 2559 มียอดขายประมาณ2.1 หมื่นคัน ลดลง 8% เมื่อเทียบกับปี 2558 โดยปี 2559 ตลาดรถยนต์พรีเมียมถือได้ว่าอยู่ในภาวะผิดปกติ เนื่องจากเหตุการณ์ความโศกเศร้าในช่วงเดือน ต.ค.ส่งผลให้ตลาดในไตรมาส 4 ของปี 2559 ชะลอตัว จึงเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เล่นในตลาดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และทำกิจกรรมทางการตลาดในปี 2560 ส่งผลให้ตลาดเติบโต ขณะที่บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ที่จะเติบโตมากกว่าปี 2558 อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ใหม่ที่ผลิตในประเทศไทยในราคาเริ่มต้นที่ 3.39-3.99 ล้านบาท ปรับลดลงเมื่อเทียบกับรุ่น นำเข้า จากเดิมที่มีราคาอยู่ที่ 3.99-4.79 ล้านบาท โดยบริษัทได้เพิ่มรุ่นที่ราคา เริ่มต้น 3.39 ล้านบาท เพื่อให้ขยายกลุ่มเป้าหมายสู่นักธุรกิจรุ่นใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีการประกอบในประเทศจำนวน 19 รุ่น โดยการผลิตในประเทศส่งผลต่ออัตราภาษีที่ลดลง.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/478689
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

อุตฯ เร่งสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อเสร็จทันปี 62
กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อให้เสร็จทันกำหนด หวังใช้ดึงดูดค่ายรถยนต์ดันไทยเป็นฮับ วิจัย-พัฒนาผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ
อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนงาน คาดว่างานโครงารก่อสร้างระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อ UN R117 จะสามารถดำเนินการได้ในปี 2560 และโครงการทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ในปี 2562 ตามกำหนด2
ทั้งนี้ การจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ นับเป็นเมกะโปรเจกต์หนึ่งของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการผลิตและการส่งออก ยางล้อ ยานยนต์ และชิ้นส่วน และให้ไทยเป็นศูนย์กลางการทดสอบฯ ของภูมิภาคอาเซียน โครงการนี้จะช่วยยกระดับประเทศ จากการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ (Production Hub) สู่การเป็นฐานการวิจัยและพัฒนายานยนต์และชิ้นส่วน (R&D Hub) ซึ่งจะดึงเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าประเทศ เพราะรถ 1 คันมีชิ้นส่วนภายใน 2 – 3 หมืนชิ้น และในอนาคตอะไหล่ชิ้นส่วนรถจะใช้เทคโนโลยีสูง และมีมูลค่าเพิ่มสูง
นอกจากนี้ การลงทุนสร้างศูนย์ทดสอบกลางฯ ให้บริษัทรถยนต์ทุกค่ายมาใช้โดยเก็บค่าบริการ จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมยานยนต์ ลักษณะเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ และสเปน ดำเนินการ ซึ่งจะทำให้การลงทุนในไทย มีค่าใช้จ่ายของการตรวจสอบและรับรองต่ำที่สุด และน่าจะเป็นตัวดึงดูดบริษัทผู้ผลิตรถยนต์มาลงทุนออกแบบวิจัยและพัฒนาฯ ในไทย สอดคล้องกับที่ ครม. ได้มีมติอนุมัติในหลักการ ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้กับผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เหลือ 17%
สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า คณะผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ไปศึกษารูปแบบวิธีการบริหารจัดการของศูนย์ทดสอบยานยนต์ ของแอพพลัส อีเดียด้า ประเทศสเปน เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ สมอ.และสถาบันยานยนต์ ร่วมฝึกอบรมในหลักสูตรการทดสอบยางล้อและการตรวจสอบรับรองผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐาน UN R117 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยได้เยี่ยมชมสนามทดสอบและห้องปฏิบัติการ ที่มีอยู่ในแผนของโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯ ของไทย
สำหรับโครงการฯ ระยะที่ 1 จะเป็นส่วนทดสอบยางล้อ UN R117 ประกอบด้วย สนามทดสอบเสียงจากยางล้อ และการยึดเกาะถนนพื้นเปียก ระยะทาง 1.4 กม. รวมทั้งห้องทดสอบความต้านทานการหมุนของล้อ มีกำหนดเสร็จช่วงเดือนก.พ.2561 และโครงการระยะที่ 2 สมอ.อยู่ระหว่างการของบประมาณประจำปี 2561 เพื่อออกแบบรายละเอียดและก่อสร้างรวมอีก 5 สนามย่อย
autospinn
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ศปถ.สรุป7วันอันตราย สงกรานต์ วันที่5 เสียชีวิตสะสม 283 ราย โคราชยังครองแชมป์เสียชีวิตสะสมสูงสุด สาเหตุหลักเมาแล้วขับ
วันนี้(15เม.ย.60)ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน วันที่ 15 เม.ย 2560 วันที่ 5 ของการรณรงค์ สงกรานต์ปลอดภัยส่งเสริมวัฒนธรรมไทย สร้างวินัยจราจร พบเกิดอุบัติเหตุ 600 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 53 คน บาดเจ็บ 634 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ เมาแล้วขับ ร้อยละ 44.83 รองลงมาเป็น ขับรถเร็ว และตัดหน้ากระชั้นชิด ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือรถจักยานยนต์ ร้อยละ 83.95 รองลงมาคือรถปิกอัพ ร้อยละ 7.13
โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดละ 30 ครั้ง เสียชีวิตสูงสุด คือจังหวัดนครราชสีมา และเชียงราย จังหวัดละ 4 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดคือจังหวัดอุดรธานี 33 ราย
สรุปอุบัติเหตุบนถนน สะสม 5 วันตั้งแต่วันที่ 11 -15 เม.ย.เกิดอุบัติเหตุรวม 2,985 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 283 ราย บาดเจ็บ 3,087 คน
จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดสะสมคือจังหวัดเชียงใหม่ 140 ครั้ง จังหวัดนครราชสีมามีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 17 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดสะสมคือจังหวัดเชียงใหม่ 145 คน
เทียบสถิติปี 2559 พบว่าอุบัติเหตุสะสมเพิ่มขึ้น 261 ครั้ง ขณะที่ผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้น 141 คน แต่ผู้เสียชีวิตลดลง 55 ราย
ทั้งนี้ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยแผนอำนวยความสะดวกให้ประชาชนช่วงเดินทางขากลับเข้ากรุงเทพฯ จะเน้นตรวจหน้าด่านประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะ รถโดยสารสาธารณะ และบริหารจัดการจราจรให้มีความคล่องตัว เปิดช่องทางพิเศษ ถนนมิตรภาพ 4 ช่องจราจร ช่องสระบุรี-พระนครศรีอยุธยา เปิด 5 ช่องทาง จาก 8 ช่องทาง ทั้งนี้ยอมรับว่า จากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด อุบัติเหตุลดลงเมื่อเทียบกับสถิติปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการปรับแผนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนในการเดินทาง
TNN24
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีเลือก กล้องติดรถยนต์ ดูที่อะไรบ้าง?
การขับขี่รถยนต์บนท้องถนนนั้นอาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จากความประมาทของตนเองและผู้อื่น เพื่อลดการพิพาทที่เกิดขึ้น การมีกล้องติดรถยนต์ จะช่วยป้องปรามนักเลงบนท้องถนน ทั้งยังช่วยในเรื่องคดีความหากฟ้องร้องกันขึ้นมาจะพิสูจน์ทราบได้ว่า ฝ่ายไหนทำผิด-ถูก กล้องติดรถยนต์นั้นมีมากมายหลายเกรดหลายราคา แม้กระทั่งของที่ไม่ได้คุณภาพติดรถไปก็ได้ภาพไม่ชัด เมมโมรี่ไม่บันทึก เราต้องพิจารณาอะไรบ้างก่อนซื้อไปดูกันเลย
วิธีเลือกกล้องติดรถยนต์
1. ความละเอียดกล้องต้องมาก่อน เพราะเป็นสิ่งที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ เปรียบเหมือนพยานปากเอกคนสำคัญ ถ้าความละเอียดไม่คมชัดพอก็ไม่สามารถนำมาใช้กับเหตุการณ์จริงได้ แนะนำว่าให้เลือกแบบ Full HD 1080P ขึ้นไป และเลือกเมมโมรี่ที่เป็นแบบ Class 10 เท่านั้น
2. การเคลื่อนไหวภาพต้องสมจริง ให้ดูอัตราเฟรมภาพต่อวินาที Frame Per Second สังเกตตัวย่อ (FPS) ค่าต่ำสุดที่เลือกซื้อ 25 FPS สูงสุดไม่เกิน 30 FPS ซึ่งเป็นหลักการทำงานเป็นการเคลื่อนไหวภาพ เช่น เวลา 1 วินาที จะมีภาพนิ่งถูกบันทึกต่อเนื่องกัน 25-30 ภาพ เป็นต้น
3. ดูเลนส์กล้อง ซึ่งเป็นตัวควบคุมรูรับแสง หรือศัพท์ช่างถ่ายภาพเรียกว่าค่า F/Stop ให้จำไว้ว่ายิ่งค่า F มากแสงจะเข้าได้น้อยเรียกว่าชัดลึก เหมาะกับการใช้งานกล้องติดรถยนต์ เพราะภาพที่ได้จะคมชัดเท่ากันทั้งภาพ
4. ต้องมีโหมดบันทึกภาพเวลากลางคืน (Night Shot) ช่วยลดแสงสะท้อนบนท้องถนน ก่อนซื้อสังเกตสัญลักษณ์ WDR (Wide Dynamic Range) คุณจะไม่พลาดวินาทีสำคัญทั้งกลางวัน และกลางคืน
5. มีฟังก์ชั่นรองรับได้หลากหลาย เช่น ระบบป้องกันภาพสั่นไหว, ระบบบันทึกเสียงที่ชัดเจน, มีเลขแสดงวันเวลา และวันที่, รองรับไฟล์ที่บันทึกตามสกุลที่เราต้องการได้
6. เช็กแบตเตอรี่กล้อง ซึ่งมีแบบแบตเตอรี่ในตัว และไม่มีแบตเตอรี่ ทั้ง 2 แบบ ต่างกันตรงมีสายชาร์ตต่อจากที่จุดบุหรี่ในรถ หรือเลือกแบบจ่ายไฟในตัวเครื่องเองก็ได้ ชอบแบบไหนเลือกเอาที่สบายใจเลย เป็นที่น่าสังเกตว่ากล้องติดรถยนต์ที่มีคุณภาพดี ราคาสูง ส่วนใหญ่จะไม่มีแบตเตอรี่ภายใน แต่จะมีคาปาซิเตอร์มาแทน อาจเป็นเพราะว่าหากมีแบตเตอรี่ติดไว้หน้ารถอาจทำให้กล้องมีความร้อนอาจถึง ขั้นรวนได้
7. ที่ขาดไม่ได้คือใบรับประกันจากผู้ผลิตสินค้า ส่วนมากแล้วกล้องที่ราคาถูกๆ จะไม่มีใบรับประกัน อย่างมากก็ซื้อไป 7 วันใช้งานไม่ได้ก็ค่อยนำมาเปลี่ยน แต่ระยะยาวมักเกิดปัญหาจุกจิกตามมา คิดจะซื้อทั้งทีเลือกของดีหน่อยจะได้ไม่ต้องมาซื้อซ้ำบ่อยๆ ครับ
สำหรับคนมีรถยนต์ปัจจุบันนี้เราควรมีกล้องติดรถไว้อย่างน้อย 1 ตัว เพื่อลดการเกิดข้อพิพาทกับบริษัทประกัน หรือคู่กรณี อย่างน้อยผิด-ถูก กล้องติดรถยนต์จะเป็นพยานปากเอกของคุณได้
sanook.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

4 สิ่งที่ต้องเช็คหลังกลับจากขับรถเดินทางไกล
ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ที่ผ่านมานั้น หลายคนเลือกใช้วิธีขับรถสวนตัวเพื่อเดินทางไปยังต่างจังหวัด ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดการสึกหรอของตัวรถไม่มากก็น้อย
จึงขอแนะนำ 4 สิ่งที่ต้องเช็คหลังจากเดินทางกลับต่างจังหวัด เพื่อให้สามารถใช้งานรถคันเก่งได้อย่างปลอดภัยและช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้นด้วยครับ
1.เช็คระดับของเหลวในเครื่องยนต์
เมื่อรถยนต์ถูกผ่านการใช้งานมาอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง จึงมีความเป็นไปได้ที่ของเหลวต่างๆ ในเครื่องยนต์จะพร่องลงจากการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คระดับน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (ถ้ามี) รวมถึงระดับน้ำในหม้อน้ำและหม้อพัก ไม่ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า MIN และหากน้ำมันต่างๆ มีกลิ่นเหม็นไหม้หรือกลายเป็นสีดำ อาจเป็นไปได้ว่าน้ำมันมีการเสื่อมสภาพแล้ว จึงควรรีบเปลี่ยนถ่ายเมื่อมีโอกาส
2.เช็คสภาพล้อและลมยาง
การขับรถทางไกลหรือบนเส้นทางที่มีการก่อสร้าง มีความเป็นไปได้ที่ยางจะถูกวัตถุมีคมทิ่มแทงแล้วคาอยู่กับเนื้อยาง ซึ่งกรณีนี้จะทำให้ลมยางซึมออกอย่างช้าๆ ทางที่ดีควรเช็คลมยางทั้งสี่ล้อ รวมถึงสภาพดอกยางว่ายังคงปกติ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่ และไม่มีการสึกของดอกยางที่ผิดปกติ แก้มยางต้องไม่มีรอยฉีก รวมถึงเช็คสภาพล้อแม็กว่าจะต้องไม่แตกหรือมีรอยบิ่นจนทำให้เกิดอันตรายได้
3.เช็คช่วงล่างและระบบกันสะเทือน
ความผิดปกติเกี่ยวกับช่วงล่างที่พบได้บ่อยหลังจากกลับจากเดินทางไกล คือ โช็คเสื่อมสภาพ เนื่องจากขับผ่านถนนขรุขระ หรือตกหลุมอย่างรุนแรง (ก็รู้อยู่แล้วว่าสภาพถนนบ้านเรามันแย่ขนาดไหน) จึงควรก้มส่องดูก้านโช๊คอัพทั้ง 4 ต้น ว่าไม่มีน้ำมันซึมออกมา หากใช้แรงกดลงไปบนตัวถัง ยังมีเสียง 'ฟี้ด' ดังออกมา และรถจะต้องเด้งเพียงครั้งเดียว ไม่เด้งต่อเนื่อง ซึ่งจะแปลว่าโช๊คเสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง
4.เช็คสภาพตัวถัง
ควรล้างทำความสะอาดคราบแป้งให้เรียบร้อยหลังจากเดินทางกลับ เพราะส่วนผสมของแป้งอาจทำให้เกิดรอยด่างได้ อีกทั้งยังได้เช็คว่ามีรอยขูดขีดหรือรอยบุบของตัวถังหรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนเคลมประกันหรือซ่อมแซมต่อไปครับ
เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ทราบความผิดปกติของตัวรถ และซ่อมแซมแก้ไขก่อนจะลุกลามบานปลายได้ครับ
sanook.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ซีนอลกับฮาโลเจน เลือกใช้แบบไหนดีกว่ากัน?
การขับขี่ยามค่ำคืน โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย หรืออุบัติเหตุย่อมมีมากกว่าช่วงกลางวัน เพราะทัศนวิสัยต่างๆ ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด และถึงแม้จะมีแสงจากไฟข้างทาง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้ก็คือ ไฟหน้ารถ ของคุณนั่นเอง
ทุกวันนี้ นวัตกรรมเกี่ยวกับไฟหน้ารถยนต์ก้าวล้ำไปมากกว่าเดิม รุ่นล่าสุดที่เห็นในรถรุ่นใหม่ๆ ก็จะเป็น LED และที่กำลังพัฒนาอยู่ตอนนี้ Laser Beam หรืออีกชื่อ Laser Light ซึ่งมันมีความสว่างมากกว่าเดิมหลายเท่า อีกทั้งยังมีระยะส่องสว่างมากกว่า 500 เมตร คาดว่าอีกไม่นานคงได้ใช้กันแน่นอน แต่ ณ ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักแค่ ไฟฮาโลเจน (Halogen) และ ไฟซีนอล (Xenon) โดยเฉพาะในรถรุ่นเก่าๆ ก็มักจะเลือกเล่นเฉพาะ 2 แบบนี้ เพราะไฟ LED ค่อนข้างมีราคาสูงอยู่พอสมควร ส่วนมากคนแต่งรถมักจะทำกัน เพราะมันดูหรูหรา และดูมีความล้ำมากกว่าเดิม
ดังนั้นเราจึงขอพูดถึงเฉพาะ ไฟฮาโลเจน (Halogen) และ ไฟซีนอล (Xenon) ให้ได้รับรู้กันว่า แต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อดี-ข้อเสีย และแบบไหนให้ความสว่างมากกว่ากัน
หลอดไฟฮาโลเจน (Halogen) ภายในจะบรรจุไปด้วยก๊าซเฉื่อย หรือสุญญากาศ ซึ่งหลักการทำงานก็ง่ายๆ แค่ใช้ไฟบวกกับลบมาเจอกันก็จะทำให้เกิดความร้อนที่ไส้ทังสเตน (Tungsten) แล้วเปล่งแสงสว่างขึ้นมา
ข้อดี
-ราคาถูก
-บำรุงรักษาง่าย
ข้อเสีย
-มีความร้อนสูง และสะสม
-ทำให้โคมไฟเหลือง และหมองเร็ว
หลอดไฟซีนอล (Xenon) ภายในบรรจุก๊าซซีนอล กำเนิดแสงโดยตัวแปลงสัญญาณ ซึ่งจะนำไฟจากรถเข้าสู่สัญญาณกล่อง หรือที่เรียกว่า บัลลาสต์ คอยทำหน้าที่จ่ายไฟ ทำให้หลอดไฟเปล่งแสงขึ้นมาโดยไม่มีขดลวด
ข้อดี
-ให้ความสว่างมากกว่าฮาโลเจนหลายเท่า
-มีอายุการใช้งานทนทานกว่าฮาโลเจนหลายเท่า
-ประหยัดไฟ และความร้อนสะสมลดลง
ข้อเสีย
-ราคาแพงกว่า
-แสงแยงตารถคันอื่น (กรณีที่ใส่ในโคมเดิม)
-การบำรุงรักษาค่อนข้างยาก
สำหรับการจะเลือกใช้ไฟหน้าแบบไหน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และความต้องการของคุณเป็นหลัก เพราะบางคนอาจคิดว่าใช้แบบเดิมๆ ก็เพียงพอแล้ว และใส่ไปแล้วกลัวแสบตา แยงตา รบกวนคนอื่น หรือกลัวมีคนมาด่าตามหลัง ฯลฯ แต่บางคนอาจชื่นชอบในความสวยงาม ดูหรูหราของไฟซีนอล หรือใส่แล้วให้ความสว่างมากกว่าหลอดเดิม ฯลฯ แต่การจะใส่หลอดไฟซีนอล สิ่งที่ควรทำอีกอย่างก็คือ การเปลี่ยนไปใส่ โคมโปรเจคเตอร์ (Projector) เพราะ หากไม่ใส่ลำแสงที่ปล่อยออกมาจากโคมเดิมมันจะฟุ้งใส่รถ ใส่ตาคนอื่น ไม่สามารถคุมได้ ต่อให้เอาหมวกมาครอบก็ไม่ช่วยอะไร เพราะมันสามารถสะท้อนกับรีเฟล็กซ์โคมรอบๆ ได้อยู่ดี
สุดท้ายนี้ เวลาเลือกหลอดไฟมาเปลี่ยนใหม่ อย่าลืมดูค่า K (ค่าอุณหภูมิของแสง) ซึ่งค่าปกติมาตรฐานคือ 4,300K สีจะออกขาวนวลอมเหลืองทอง หรือถ้าอยากได้สว่างมากขึ้นอีกนิด แสงยังเป็นสีขาวอยู่ และไม่ผิดกฎหมาย เลือกค่า 6,000K และ 8,000K ครับ
sanook.com
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ไอเท็มยอดฮิตที่ต้องมีติดรถก่อนเดินทางไกล
เมื่อถึงช่วงหยุดยาว หรือเมื่อต้องเดินทางไปไหนไกลๆ นอกจากการตรวจเช็กสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ อุปกรณ์ติดรถ หรืออุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน เพราะบางครั้งมันอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างทางได้ทุกเมื่อ
อุปกรณ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่มักมีแถมมาให้เมื่อซื้อรถออกมาจากศูนย์บริการ แต่ถ้าเป็นรถมือสอง ควรตรวจเช็กดูให้ดี ว่าเต็นท์รถ หรือเจ้าของคนเก่าใส่มาไว้ให้ในรถหรือไม่ และในปัจจุบันนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมติดรถอื่นๆ อีกมากมาย ที่ควรนำไปใส่ไว้ติดรถอยู่เสมอ ดังนี้
1. ยางอะไหล่ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ เมื่อยางที่ใช้อยู่เกิดปัญหา เช่น ยางแตก ยางแบน ยางรั่ว ยางระเบิด ฯลฯ เพราะยางอะไหล่สามารถใส่แทนกันได้จนกว่าจะไปถึงร้านยาง ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนยางเส้นใหม่ หรือปะยางเก่าเส้นเดิมมาใช้ก็ได้ (คอยตรวจสอบค่าลมยางเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มันมีสภาพพร้อมใช้งาน )
2. เครื่องมือประจำรถและแม่แรง ถ้ามียางอะไหล่ แต่ไม่มีเจ้าพวกนี้ ก็ถือว่าไร้ค่ามากๆ เพราะคุณจะไม่มีที่ยกรถ และไม่มีตัวขันน๊อตล้อ พยายามอย่าเอาออกจากรถเด็ดขาด ใส่ไว้รวมกับที่เก็บยางอะไหล่ก็ได้ เครื่องมือประจำรถ และแม่แรงไม่ได้ใช้พื้นที่เก็บเยอะแยะขนาดนั้น
3. สายพ่วงแบตเตอรี่ หาก จะให้พูดว่า มีไว้อุ่นใจกว่า ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะคุณไม่อาจรู้ได้เลยว่า แบตเตอรี่ที่ใช้อยู่จะมีปัญหาขึ้นมาเมื่อไหร่ เนื่องจากการเดินทางไกลๆ คุณอาจต้องดับเครื่องยนต์เพื่อแวะพักข้างทาง หรือแวะเข้าปั๊มบ่อยๆ เพื่อเติมน้ำมัน เติมแก๊ส ทานข้าว หรือเข้าห้องน้ำ และเมื่อจะเดินทางต่อ แต่ดันสตาร์ทรถไม่ติด ไปไหนต่อก็ไม่ได้ การมีสายพ่วงแบตเตอรี่เก็บเอาไว้ในรถก็คงจะดีกว่า เพราะยังสามารถขอให้รถคันอื่นมาช่วยจั๊มป์แบตฯ ได้
4. สายลากรถ มีไว้ใช้ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี เพราะหากรถของคุณไม่อาจซ่อมเองได้ แล้วแถวนั้นไม่สามารถเรียกรถมายกได้ แต่ถ้าบริเวณนั้นอยู่ในจุดที่มีคนพลุกพล่าน เป็นจุดแวะพัก หรือถ้าโชคร้ายหน่อย เป็นข้างทางที่ไม่มีอะไรเลย แล้วเกิดโชคดี(ในโชคร้าย) มีคนจอดเพื่อช่วยเหลือ หรือมีคนมาช่วยลากรถของคุณไปที่อู่ หรือศูนย์บริการใกล้ๆ สายลากรถได้ใช้งานแน่นอน
5. ไฟฉายส่องสว่าง ถ้าจะให้พูดว่า มันคือพระเอกในยามค่ำคืนก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะไฟฉายจะมีประโยชน์มากๆ ในช่วงเวลากลางคืน หรือในที่มืดๆ ที่ไม่มีแสงไฟข้างทาง ซึ่งนอกจากจะใช้ส่องเพื่อซ่อมรถ หรือตรวจดูความเสียหายแล้ว มันยังสามารถใช้เป็นสัญญาณเตือนให้ระวังจุดที่รถของคุณเสียอยู่ให้กับรถที่ ขับมาทีหลัง หรือจะใช้เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ได้เช่นกัน
Advertisement
6. ป้ายเตือน ป้ายฉุกเฉิน ป้ายสามเหลี่ยม อันนี้แล้วแต่จะเรียก ซึ่งคุณสมบัติของมันสามารถใช้ตั้งเตือนเมื่อรถคุณเสียได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน เพราะบางรุ่นสามารถสะท้อนแสงได้ และอาจมีระบบสัญญาณไฟกระพริบติดมาให้ด้วย ทำให้คนที่ขับตามหลังมามองเห็นแต่ไกล และระยะที่ควรนำไปตั้งไว้ให้ห่างจากบริเวณที่รถคุณเสียคือ 100 – 150 เมตร
7. ค้อนทุบกระจกพร้อมที่ตัดเข็มขัด แม้จะมีเปอร์เซ็นต์น้อยที่จะเกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้มัน เช่น รถตกน้ำ เข็มขัดนิรภัยถอดไม่ออก ประตูเปิดไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งถ้าถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ แล้วคุณไม่สามารถหนีออกไปได้ ค้อนทุบกระจกพร้อมที่ตัดเข็มขัดนี่แหละ ที่จะช่วยชีวิตของคุณได้ ทางที่ดีควรเก็บเอาไว้ใกล้คนขับจะดีกว่า
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

8. อุปกรณ์ชาร์จไฟต่างๆ ดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไร แต่ถ้าเกิดรถเสียแล้วซ่อมเองไม่ได้ จำเป็นต้องตามช่าง หรือตามรถยก แล้วแบตเตอรี่โทรศัพท์เกิดหมดขึ้นมา จะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่ เพราะไม่สามารถขอความช่วยเหลืออะไรได้เลย
9. กล้องติดรถยนต์ นับเป็นอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่คนมีรถจำเป็นต้องติด เพราะมันมีส่วนสำคัญในการช่วยตัดสินเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถือเป็นพยานชั้นดีในการพิสูจน์ความถูก-ความผิดเมื่อเกิดคดีความ รวมไปถึงในกรณีที่รถของคุณถูกเฉี่ยวชน แล้วคู่กรณีเกิดหนีขึ้นมา หลักฐานในกล้องก็จะสามารถช่วยตามหาคนผิดได้ไม่ยาก และยังเอาไปให้ประกันดูเพื่อเป็นหลักฐานในการเคลมได้อีกด้วย
10. เครื่องป้องกันการหลับใน อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และคนส่วนใหญ่คิดว่ามันไม่สำคัญ แต่การมีติดรถไว้ขณะเดินทางไกล ก็ถือว่าช่วยได้จริงๆ เพราะบางคนขับรถไกลมาก อาจใช้เวลานาน 8 – 12 ชั่วโมง(ช่วงเทศกาล) และหากรถที่นั่งไปมีคนขับรถเป็นแค่คนเดียว จะยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ การมีเครื่องป้องกันการหลับในที่คอยส่งเสียงแจ้งเตือนก่อนคุณจะหลับ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง และอุบัติเหตุลงได้
การขับรถเดินทางไกล นอกจากต้องเตรียมรถ เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินให้พร้อมแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างที่ต้องเตรียมก็คือ สติ เพราะหากขาดสติในการขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การพักผ่อนก่อนเดินทางไป และเดินทางกลับ เพราะถ้ามีแค่สติ แต่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถคุณเหมาะกับน้ำมันเครื่องแบบไหน?

      น้ำมันเครื่อง มีหน้าที่ดูแลชิ้นส่วนโลหะ ระบายความร้อน ลดการเสียดสี ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ยังช่วยเคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่า และเศษโลหะ ป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหลภายในเครื่องยนต์ ที่สำคัญป้องกันการกัดกร่อนจากสนิม และกรดต่างๆ ถ้าหากคุณใช้น้ำมันเครื่องที่ดีมีคุณภาพ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นประจำจะช่วยให้ยืดอายุการทำงานของเครื่องยนต์ได้นานขึ้น โดยคุณสามารถเลือกใช้น้ำมันเครื่องได้ดังนี้

น้ำมันเครื่องที่คุ้นเคยตามการใช้งานมี 3 ชนิด

       1. น้ำมันเครื่องชนิดธรรมดา มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 4,000 กิโลเมตร
       2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 7,000 กิโลเมตร
       3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตร

ตัวอย่างการเลือกซื้อ เช่น รหัส 5w - 30

       ตัวเลข 5w หมายถึงค่าความข้นใส การทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็น ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งทนได้มากขึ้น และตัวเลขมากจะเหมาะสำหรับอุณหภูมิสูงๆ ครับ
       ตัวเลข 30 หมายถึงค่าความหนืด ยิ่งน้อย ยิ่งมีความหนืดน้อย หรือลื่นมากนั่นเอง ถ้าหากรถคุณมีอาการกินน้ำมันเครื่องจากการใช้เครื่องยนต์หนัก หรือเครื่องยนต์มีอายุมาก ก็ให้เพิ่มเลขท้ายเป็นเบอร์ 40-50 ได้เลย เพื่อเพิ่มความหนืดน้ำมันเครื่อง ป้องกันการรั่วของกำลังอัด สำหรับอากาศประเทศไทยให้ดูเลขท้ายน้ำมันเครื่องเป็นหลักครับ

เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน

สังเกตตัวอักษร S คือ เครื่องยนต์เบนซิน ตามหลังคำว่า API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจาก เกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด เช่น น้ำมันเครื่องตัวนี้ระบุเกรด L ตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะระบุว่า API SL คือ S เครื่องเบนซิน เกรด L เป็นต้น

เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ ดีเซล

       สังเกตตัวอักษร C คือ เครื่องยนต์ดีเซล ตามหลังคำว่า API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจากเกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด เช่น น้ำมันเครื่องตัวนี้ระบุเกรด Lตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะระบุว่า API CL คือ C เครื่องดีเซล เกรด L เป็นต้น

       สำหรับการถ่ายน้ำมันเครื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก หากคุณใช้งานปกติก็บำรุงรักษาตามคู่มือรถได้เลย ส่วนจะเลือกถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการ หรือมีอู่ประจำก็เลือกได้ตามสะดวก ส่วนใครที่มีความเป็นช่างก็สามารถเปลี่ยนถ่ายเองได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่าลืมน้ำมันเครื่องเก่าเอาไปขายได้นะครับ

sanook.com
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เสียงหอนจากรถยนต์ เกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง?
รถยนต์ที่คุณใช้งานอยู่ทุกวัน เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งอาจจะเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ทั้งจากการใช้งานอย่างสมบุกสมบัน หรืออาจเกิดจากอายุของรถที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ ซึ่งนั่นอาจส่งผลให้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในขณะที่รถของคุณกำลังวิ่งอยู่ เช่น เสียงหอนจากรถยนต์
เสียงหอนจากรถยนต์ อาจหอนป็นระยะหรืออาจหอนแบบต่อเนื่องก็ได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นมีอยู่หลายปัจจัย เช่น การใช้งานแบบไม่ระวัง, ไม่ได้ดูแลรักษา หรือเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนด, ปล่อยปละละเลยอาการผิดปกติจนลุกลามไปส่วนอื่นๆ ฯลฯ
สำหรับชิ้นส่วนที่มักจะเกิดเสียงหอนบ่อยที่สุด หลักๆ จะมีอยู่ 3 จุด ดังนี้
1. เสียงหอนจากยางรถยนต์ มักจะหอนเมื่อขับรถไปถึงช่วงความเร็วหนึ่งมากกว่า ส่วนสาเหตุที่ทำให้หอนอาจเป็นเพราะ ยางเริ่มเสื่อมสภาพ ให้ลองเช็กดูก่อนว่า ยางบวม ดอกยางกินไม่เท่ากัน กินข้างใดข้างหนึ่ง กินเป็นบั้งหรือไม่ หากพบเจอตามอาการที่กล่าวมา ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ นอกจากนี้ให้ตรวจเช็กดูช่วงล่างด้วย เพราะเหตุที่ทำให้ยางเป็นแบบนั้น แสดงว่าช่วงล่างรถยนต์ของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว
2. เสียงหอนจากลูกปืนล้อรถยนต์ ยิ่งวิ่งยิ่งดังยิ่งหอนชัดเจน แม้แรกๆ จะน่ารำคาญเรื่องเสียง แต่หากปล่อยไว้นานๆ เสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกปืนแตกคาล้อ ทีนี้แหละรถก็จะขับไปไหนต่อไม่ได้ ต้องเรียกรถยกลากเข้าอู่สถานเดียว ทางที่ดีถ้าเริ่มได้ยินเสียง ควรจะรีบนำรถไปตรวจเช็กให้ไวจะดีกว่า
3. เสียงหอนจากเครื่องยนต์ ส่วนใหญ่จะเกิดกับพวกลูกปืนในห้องเครื่องที่พาดกับสายพานต่างๆ เช่น ลูกปืนเพาเวอร์, ลูกปืนพูลเล่ย์, ลูกปืนไดชาร์จ, ปั๊มน้ำ, คอมแอร์ ฯลฯ และหากคุณไม่มีความรู้ ไม่สามารถระบุได้ว่าดังมาจากชิ้นส่วนใด ให้นำรถเข้าไปตรวจสอบกับช่างผู้เชี่ยวชาญดีกว่า เพื่อจะได้ทราบถึงต้นตอปัญหา และทำการซ่อมแซม หรือแก้ไขได้ถูกจุด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ มันอาจเสียหายหนักขึ้น และลามไปยังส่วนอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นว่ารถของคุณ เกิดเสียงหอนดังมาจากส่วนใดระหว่าง ยางรถยนต์ หรือลูกปืนล้อ ซึ่งขั้นตอนก็ง่ายๆ เพียงแค่ยกรถของคุณให้ลอยจากพื้น (จะใช้ฮอยยกรถ หรือใช้แม่แรงยกขึ้นก็ได้ ตามความสะดวก) แล้วสตาร์ทรถ เข้าเกียร์ และเหยียบคันเร่งให้ล้อหมุน สังเกตฟังเสียงให้ดี หากไม่มีเสียงหอน แปลว่าไม่ได้เป็นที่ลูกปืน สาเหตุเกิดจากยางรถยนต์แน่นอน
หากเกิดเสียงหอนหรือความผิดปกติอื่นๆ กับรถยนต์ของคุณ อย่าได้นิ่งนอนใจ คุณควรที่จะรีบนำรถไปตรวจเช็กให้เรียบร้อย เพราะหากเกิดปัญหาระหว่างขับขี่ขึ้นมา อาจเกิดอุบัติเหตุ และอันตรายขึ้นได้
sanook
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host