"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
2.น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือจอดรถบนทางราบ และใส่เบรกมือ จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเปลี่ยนเกียร์ ไล่ไปตั้งแต่ตำแหน่ง P จนถึง L หรือ 1 เมื่อเปลี่ยนเกียร์แต่ละตำแหน่งให้ค้างไว้ที่ตำแหน่งนั้น ๆ สักครู่ แล้วจึงค่อยเลื่อนเปลี่ยนเกียร์ถัดไป เสร็จทุกเกียร์แล้วจึงเลื่อนมา P หรือ N ดึงก้านวัดระดับเกียร์อัตโนมัติออกมาแล้วเช็ดทำความสะอาดก่อน จากนั้นใส่ก้านวัดกลับเข้าไปแล้วดึงออกมาใหม่ คราวนี้สังเกตดูว่าระดับน้ำมันที่ติดออกมาอยู่ตรงตำแหน่งไหน ซึ่งถ้ายังอยู่ตรงคำว่า H หรือ HOT แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติปกติ
3.น้ำมันเบรก มีจุดให้สังเกตระหว่าง Min กับ Max ถ้าในระดับปกติต้องไม่เกิน Max และไม่ต่ำกว่า Min แต่ถ้าหากรู้สึกว่า น้ำมันเบรกพร่องหายเยอะเกินปกติ ควรรีบหาสิ่งผิดปกติโดยทันที หรือนำไปให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็ก และแก้ไข
4.น้ำมันคลัทช์ สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา เช่นเดียวกันกับน้ำมันเบรก สังเกตดูที่ระดับ Min กับ Max โดยระดับน้ำมันคลัทช์ต้องอยู่ระหว่างกลาง ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่าจุดที่กำหนด และถ้ารู้สึกว่าน้ำมันคลัทช์หายเยอะจนผิดปกติ ให้รีบหาต้นตอปัญหา หรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็ก และแก้ไขทันที
5.น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ เช็กได้ง่ายๆ เหมือนกับ 2 ข้อด้านบน ดูระดับ Min กับ Max เช่นเดียวกัน ไม่ให้น้อย หรือเกินกว่าจุดที่กำหนด และถ้าระดับน้ำมันหายไปเยอะผิดปกติ ก็ตรวจหาสาเหตุ หรือให้ช่างตรวจเช็ก และแก้ไขทันที
6.น้ำในถังฉีดกระจก อาจจะดูไม่ค่อยสำคัญเท่าไร แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้จริง ๆ มีไว้ก็ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี ดังนั้นควรเช็กบ้างว่ามันยังมีเหลือหรือเปล่า เพราะใช้เพียงแค่น้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

7.แบตเตอรี่ มีทั้งแบบแห้ง (ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และแบบน้ำ (เติมน้ำกลั่น) สำหรับแบตฯ แห้ง ราคาค่อนข้างจะสูงมากทีเดียว แต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก เพียงแค่สังเกตอาการ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสตาร์ทติดยาก หรือถึงตามระยะเวลาอายุการใช้งาน ก็เตรียมตัวเปลี่ยนได้เลย แต่ถ้าเป็นแบตฯ น้ำ ต้องดูแลใส่ใจกันนิดนึง เพราะใช้ไปสักระยะ น้ำที่อยู่ในแบตฯ จะระเหยออกไป ดังนั้นจึงต้องคอยเติมอยู่เสมอไม่ให้ขาด และอย่าเติมล้นเกินไป เพราะเมื่อมันเดือดกรดจะล้นออกมากัดขั้ว หรือตัวถังรถได้
8.น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ ควรจะเช็กในตอนเช้า ๆ ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือเช็กในตอนที่เครื่องยนต์ไม่มีความร้อนจะดีที่สุด ส่วนการสังเกตความผิดปกตินั้น ก็เปิดฝาหม้อน้ำ หรือถังพักน้ำสำรอง ดูสี ดูสภาพ ว่ายังดูดีเหมือนตอนแรกหรือเปล่า น้ำลดหายไปมากแค่ไหน ถ้าหายไปก็เติมเข้าไปด้วยน้ำยาหล่อเย็น หรือน้ำเปล่า (เฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น) เพราะการใช้น้ำยาหล่อเย็นจะช่วยป้องกันหม้อน้ำได้ดีที่สุด และหากสภาพที่เห็นไม่ค่อยสู้ดี มีสีของสนิม สมควรแก่การเปลี่ยนถ่ายโดยทันที
9.ท่อยาง ท่อทางเดินต่าง ๆ ในห้องเครื่อง ตรวจดูท่อต่าง ๆ ว่ามีตรงไหนผิดปกติบ้าง และท่อเชื่อมต่อต่างๆ ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานหรือเปล่า เช่น ไม่มีการรั่ว เยิ้ม แฉะ ซึม ฯลฯ พร้อมทั้งตรวจสภาพของท่อไปด้วยว่ามีอาการ กรอบ แข็ง นิ่ม หรือไม่
10.ไส้กรองอากาศรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบเปียก หรือแบบแห้ง กรองเปลือย หรือกรองเดิม ก็ต้องใส่ใจดูแลกันสักหน่อย จะได้ไม่มีเศษฝุ่นสิ่งสกปรกต่าง ๆ ผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้ ส่วนการดูแลก็ทำได้ง่าย หากดูแล้วยังเห็นว่าใช้งานได้อยู่ สกปรกไม่มาก ก็จัดการนำไปเป่าไล่เศษฝุ่นต่าง ๆ จากภายในออกสู่ภายนอกให้หมด หรือถ้าเป็นแบบเปียกก็นำไปล้างแล้วลงน้ำยาใหม่ และถ้าสกปรกมาก หรือดูสภาพไม่ดีแล้ว จัดการเปลี่ยนใหม่ดีที่สุด
11.ยางรถยนต์ ดูคร่าว ๆ ในเรื่องของสภาพยางทั้ง 4 ล้อ และยางอะไหล่ ว่ายังพร้อมใช้หรือไม่ รวมไปถึงตรวจดูลมยางของแต่ละล้อ ว่ามีล้อไหนลมหายไปเยอะผิดปกติกว่าเส้นอื่นบ้าง หากมีควรรีบหาสาเหตุ และนำไปปะยางทันที หรือถ้าสภาพยางไม่ไหวแล้ว จัดการเปลี่ยนใหม่ปลอดภัยกว่า
12.ไส้กรองระบบปรับอากาศภายในรถยนต์ ต้องลงทุนรื้อภายในกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน ซึ่งหลังจากที่ถอดออกมาแล้ว ก็จัดการเปลี่ยนอันใหม่เข้าไปได้เลย (ไม่แนะนำให้เอามาทำความสะอาดแล้วใส่เข้าไปใหม่ เพราะไส้กรองแอร์ราคาไม่แพงแล้ว)
13.สัญญาณไฟ และไฟส่องสว่างต่างๆ เช็กดูให้หมด ทั้งไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟถอยหลัง ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ ว่ามีตรงไหนติด-ดับบ้าง หากมีก็จัดการนำหลอดใหม่เปลี่ยนเข้าไปแทนที่ได้เลย
ถือเป็นข้อมูลความรู้เบื้องต้นให้แก่ผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ อีกทั้งยังช่วยเสริมให้ผู้ที่รู้แล้วได้เข้าใจมากขึ้น และหากข้อไหนที่เช็กแล้วมีปัญหา ไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้ แนะนำให้เข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมทันที เพราะหากทำเองแล้วผิดพลาดจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ สุดท้ายนี้ กระปุกคาร์ หวังเป็นอย่างยิ่งที่บทความนี้ จะมีประโยชน์แก่คุณผู้อ่านทุกคน
http://car.kapook.com/view123094.html
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ช่วงหน้าร้อน

อากาศร้อนอย่าลืมดูแลรถกับ 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในหน้าร้อนที่คนรักรถควรรู้

          แม้รถยนต์จะถูกสร้างให้ทนทานแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการดูแลก็ยากที่รถจะใช้งานได้อย่างราบรื่นเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ ยิ่งฤดูร้อนของบ้านเราที่อุณหภูมิพุ่งสูงสุดขั้ว ส่งผลต่อทุกส่วนของรถยนต์จนจำเป็นต้องตรวจสอบดูแลมากยิ่งกว่าเดิม แต่หากอยากรู้ว่าต้องตรวจสอบอะไรและอย่างไรบ้างนั้น ก็ต้องมาดู 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าร้อนที่กระปุกดอทคอมจัดให้คุณใ­นที่นี้แล้วครับ

           1.ตรวจสอบลมยางรถยนต์

          อากาศ ร้อนมีผลต่อสภาพของยางอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยจะทำให้ความดันภายในยางเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นสัมผัสของยางต่อถนนน้อยลงทำให้เมื่อเจอพื้นถนนเปียกลื­่นก็จะ หยุดยากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ จึงควรตรวจสอบสภาพและลมยางให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าว และอย่าลืมตรวจสอบยางอะไหล่ด้วยนะครับ

           2.ตรวจระบบปรับอากาศ

          คงไม่มีใครอยากใช้รถยนต์ที่ไม่มีระบบปรับอากาศในฤดูร้อนแน่นอน คุณจึงควรตรวจสอบระบบปรับอากาศอย่างระดับของน้ำยาแอร์ซึ่งหากเห­ลือน้อยก็อาจก่อปัญหากับระบบทำความเย็นของรถได้อย่างน้อยครั้งล­ะ 3 ปี ใครที่รู้ว่าห่างหายจากการตรวจมานานกว่านั้นก็รีบนำรถไปตรวจก็ด­ีนะ

           3.แบตเตอรี่รถยนต์

อากาศร้อนสุดขั้วของบ้านเราส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเ­ตอรี่รถยนต์ด้วย คุณควรหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ประกอบด้วยสายไฟและขั้วต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ก็ควรเติมอย่าให้พร่อง

           4.ระบบเบรก

          เบรก เป็นระบบความปลอดภัยที่คนใช้รถไม่ควรมองข้าม ซึ่งหากสังเกตว่าเกิดความผิดปกติขณะเบรก ไม่ว่าจะเป็นการสั่นมากกว่าปกติ มีเสียงดัง หรือมีระยะการหยุดยาวกว่าปกติ ก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบความปกติได้เลย อย่ารอให้มันผิดปกติจนอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้

           5.น้ำมันเครื่อง

          อากาศร้อนอาจทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต­์ได้มากทีเดียว นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ ตามที่คู่มือได้แนะนำก็จำเป็นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ทำงานให้ใช้งานได้อ­ีกนานเลย
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

6.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

          นอกจากน้ำมันเครื่องที่ดีแล้ว ระบบหล่อเย็นก็ควรทำงานได้อย่างปกติด้วย คุณควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุดเสียหาย รวมถึงทำความสะอาดหม้อน้ำ เมื่อพบสิ่งสกปรกมากกว่าปกติครับ

           7.สายยางและสายพานต่าง ๆ

          สายยางและสายพานเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระบบต่าง ๆ ของรถเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้จะมีความทนทานสูง แต่หากมีรอยชำรุดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ระบบของรถเกิดความผิดป­กติได้ จึงควรตรวจสอบอยุ่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ระบบภายในต่าง ๆ อาจเสียหายได้ง่ายเป็นพิเศษครับ

         8.จอดรถในที่ร่ม

          หากจำเป็นต้องจอดรถนาน ควรเลี่ยงการจอดรถในที่กลางแจ้งเป็นเวลานาน เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้ห้องโดยสารร้อนจนอยู่ไมได้แล้ว ยังส่งผลต่อสีตัวถังที่ซีดและเสียคุณสมบัติการปกป้องไปในไม่ช้า­ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรหาผ้าคลุมตัวถังเอาไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง­ครับ

          9.เปิดกระจกก่อนเร่งแอร์

          หลายคนเมื่อก้าวขึ้นรถก็อยากจะสัมผัสความเย็นจากระบบปรับอากาศท­ันที ไม่ว่ารถจะร้อนแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทำให้รถทำงานหนักกว่าปกติและเปลืองน้ำมันมากกว่า ดังนั้น ก่อนที่จะเปิดแอร์ ควรเปิดกระจกและพัดลมแอร์ให้แรงสักหน่อยเพื่อไล่ความร้อนออกไป ทำแบบนี้เพียง 1-2 นาที รับรองว่าแอร์ในรถจะเย็นเร็วกว่าเดิมมาก แถมประหยัดน้ำมันมากกว่าด้วย

          เคล็ดลับทั้ง 9 ข้อ เป็นสิ่งที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรจะตรวจสอบเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับในฤดูร้อนอาจต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นพิเศษเพื่อป้องกั­นเหตุสุดวิสัยที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังช่วยรักษาสภาพรถคู่ใจให้อยู่กับคุณไปอีกนาน ๆ ยังไงล่ะครับ

http://car.kapook.com/view117768.html
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ภัยแล้งทุบยอดรถวูบ ลุ้นฟ้าฝนฟื้นครึ่งปีหลัง

อากาศร้อนในไทยฮอตไม่แพ้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ จับตาไตรมาส2ปี59จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

ท่ามกลางสภาวะอากาศที่แสนจะร้อนแรงของอุณหภูมิในประเทศไทย ซึ่งฮอตไม่แพ้สมรภูมิเดือดของการแข่งขันในตลาดรถยนต์เวลานี้หลังงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ภาพรวมโกยยอดขายไม่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่ายหวังไว้ รวมถึงผู้จัดงานเอง ทำให้สัญญาณหลังจากนี้ ที่ในอุตสาหกรรมเคยคาดการณ์ไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2559 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์อยู่แล้ว การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่เป็นปัจจัยลบพื้นฐานที่นำมาคาดการณ์สถานการณ์ตลาดกันในปีนี้

วัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะยังคงส่งผลกระทบในระยะยาวอยู่ต่อไป ซึ่งวัดผลได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ประจำเดือนที่จะต้องฟื้นตัวกลับมาได้เดือนละมากกว่า 7 หมื่นคัน หลังจากช่วง 2 เดือนแรกของปี ตลาดรวมอยู่ในระดับ 5 หมื่นคันเท่านั้น โดยถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้กระทบภาพรวมตลาดทั้งปี .... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/427251
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ภัยแล้งทุบยอดรถวูบ ลุ้นฟ้าฝนฟื้นครึ่งปีหลัง

อากาศร้อนในไทยฮอตไม่แพ้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ จับตาไตรมาส2ปี59จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

ท่ามกลางสภาวะอากาศที่แสนจะร้อนแรงของอุณหภูมิในประเทศไทย ซึ่งฮอตไม่แพ้สมรภูมิเดือดของการแข่งขันในตลาดรถยนต์เวลานี้หลังงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ภาพรวมโกยยอดขายไม่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่ายหวังไว้ รวมถึงผู้จัดงานเอง ทำให้สัญญาณหลังจากนี้ ที่ในอุตสาหกรรมเคยคาดการณ์ไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2559 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์อยู่แล้ว การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่เป็นปัจจัยลบพื้นฐานที่นำมาคาดการณ์สถานการณ์ตลาดกันในปีนี้

วัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะยังคงส่งผลกระทบในระยะยาวอยู่ต่อไป ซึ่งวัดผลได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ประจำเดือนที่จะต้องฟื้นตัวกลับมาได้เดือนละมากกว่า 7 หมื่นคัน หลังจากช่วง 2 เดือนแรกของปี ตลาดรวมอยู่ในระดับ 5 หมื่นคันเท่านั้น โดยถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้กระทบภาพรวมตลาดทั้งปี .... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/427251
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ภัยแล้งทุบยอดรถวูบ ลุ้นฟ้าฝนฟื้นครึ่งปีหลัง
อากาศร้อนในไทยฮอตไม่แพ้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ จับตาไตรมาส2ปี59จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ท่ามกลางสภาวะอากาศที่แสนจะร้อนแรงของอุณหภูมิในประเทศไทย ซึ่งฮอตไม่แพ้สมรภูมิเดือดของการแข่งขันในตลาดรถยนต์เวลานี้หลังงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ภาพรวมโกยยอดขายไม่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่ายหวังไว้ รวมถึงผู้จัดงานเอง ทำให้สัญญาณหลังจากนี้ ที่ในอุตสาหกรรมเคยคาดการณ์ไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2559 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์อยู่แล้ว การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่เป็นปัจจัยลบพื้นฐานที่นำมาคาดการณ์สถานการณ์ตลาดกันในปีนี้
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะยังคงส่งผลกระทบในระยะยาวอยู่ต่อไป ซึ่งวัดผลได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ประจำเดือนที่จะต้องฟื้นตัวกลับมาได้เดือนละมากกว่า 7 หมื่นคัน หลังจากช่วง 2 เดือนแรกของปี ตลาดรวมอยู่ในระดับ 5 หมื่นคันเท่านั้น โดยถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้กระทบภาพรวมตลาดทั้งปี .... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/427251
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

5 วิธีใช้ 'จีพีเอส' อย่างถูกต้องรับรองไม่มี 'หลงทาง'..!
ปัจจุบันระบบนำทางระบบจีพีเอส มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มตั้งแต่อุปกรณ์ประเภท Standalone สำหรับใช้นำทางโดยเฉพาะ (เช่น Garmin, Kamaz และอื่นๆ) ไปจนถึงระบบนำทางในสมาร์ทโฟน ที่มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้มากมาย
แต่ด้วยข้อจำกัดของการอัพเดตข้อมูลแผนที่ ทำให้ถนนบางสาย (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ยังคงขึ้นว่าสามารถขับรถผ่านได้ ทั้งๆที่ถนนเหล่านั้นอาจเป็นเพียงเส้นทางเดินแคบๆ หรือถนนเก่าแก่ที่แทบจะไม่มีใครใช้สัญจรกันอีกแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คุณผู้อ่านหลงทางเพราะเชื่อเนวิเกเตอร์มากเกินไป มีคำแนะนำ 5 ประการดังนี้
1.รอให้เนวิเกเตอร์ล็อคสัญญาณจีพีเอสก่อนเดินทาง
คนส่วนใหญ่มักหยิบโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์เนวิเกเตอร์ขึ้นมา แล้วใส่จุดหมายปลายทางลงไปทันทีโดยไม่รอให้ตัวเครื่องจับสัญญาณจีพีเอสได้ก่อน ทำให้ตำแหน่งที่เราอยู่ไม่ตรงกับจุดเริ่มต้นบนเนวิเกเตอร์ ส่งผลให้การวางแผนเดินทางล่วงหน้าผิดพลาดได้
หากเป็นระบบนำทางบนมือถือที่มีระบบ A-GPS อาจใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีในการล็อคสัญญาณ แต่หากเป็นเครื่องนำทางโดยเฉพาะที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจใช้เวลาล็อคสัญญาณราว 3-5 นาทีก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้เปิดใช้เป็นเวลานานๆ
2.หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ 'Shortest Route'
เนวิเกเตอร์บางรุ่นหรือบางแอพพลิเคชั่นบนมือถือบางตัว สามารถปรับรูปแบบการเลือกเส้นทางได้ แต่เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ 'Shortest Route' หรือ 'ทางที่ใกล้ที่สุด' เพราะเนวิเกเตอร์จะพาเราไปยังเส้นทางที่สั้นที่สุดตามข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งอาจเป็นทางลูกรังชนิดล้อเกวียนแตก หรือทางที่เลิกใช้ไปตั้งแต่ยุคโบราณแล้วก็เป็นได้
เราแนะนำให้ปรับเป็นแบบ Quickest Route ที่เน้นวิ่งบนถนนเส้นหลัก หรือ Economy Route ในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงทางด่วนหรือด่านจ่ายเงิน (ชื่อเรียกอาจแตกต่างไปตามแต่ละยี่ห้อ)
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

3.ตรวจสอบตำแหน่งจุดหมายปลายทางทุกครั้ง
เมื่อพบสถานที่ปลายทางบนเนวิเกเตอร์แล้ว ควรตรวจสอบรายละเอียดสถานที่นั้นๆให้ดีเสียก่อน ว่าชื่อซอย, ถนน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด ตรงกับที่เราต้องการจะไปจริงๆ บางสถานที่อาจมีชื่อซ้ำกันแต่อยู่คนละจังหวัด อันนี้ยังไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่บางที่อยู่อำเภอเดียวกันแถมชื่อยังเหมือนกันอีก แบบนี้ต้องเช็คให้ดี
4.ตรวจสอบเส้นทางไปยังจุดหมายโดยละเอียด
เมื่อเนวิเกเตอร์คำนวณเส้นทางเสร็จเรียบร้อย ควรตรวจสอบเส้นทางให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งก่อนเริ่มเดินทาง หากเป็นถนนต่างจังหวัด ก็ควรอิงถนนหลวง หรือถนนเส้นหลักเอาไว้ก่อน พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางย่อยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบางทีเนวิเกเตอร์อาจพาไปเส้นทางทางที่ชาวบ้านเขาไม่ใช้กันแล้ว
เทคนิคหนึ่งในกรณีที่ระบบนำทางพาไปยังถนนเส้นรองโดยไม่จำเป็น เราสามารถตั้ง 'จุดผ่าน' ให้เป็นถนนเส้นหลักตามที่เราต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงถนนเส้นรองนั้นๆได้
5.วางแผนล่วงหน้าและฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญ
การใช้ประโยชน์จากระบบนำทางอย่างดีที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เริ่มออกเดินทางแล้วค่อยมาเปิดจีพีเอส เพื่อที่จะได้มีเวลาเช็คข้อมูลสถานที่ปลายทาง เส้นทางที่ต้องวิ่งผ่าน รวมถึงจุดแวะต่างๆ อีกทั้งยังควรฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญก่อนนำมาใช้จริง จะได้รู้จักสัญลักษณ์และเสียงเตือนต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับรถได้อีกทางหนึ่งด้วย
http://auto.sanook.com/52393/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถเบรกดังควรทำอย่างไร?
เสียงเบรกจากรถยนต์อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ “มติชน” ยานยนต์ มีข้อแนะนำเมื่อเกิดปัญหาเบรกมีเสียงดัง ดังนี้
1.ตรวจสอบผ้าเบรก ดูว่าผิวหน้าของเบรกเป็นมันเงาหรือไม่ เพราะผิวหน้าผ้าเบรกเป็นเหมือนกระจก ความร้อนทำให้ผิวหน้าผ้าเบรกแข็งตัว จึงไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงของผ้าเบรกได้ ดูว่ามีรอยลักษณะเหมือนจานแผ่นเสียงหรือไม่ รอยที่เกิดจากการเสียดสีกับจานเบรก อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสั่นเล็กน้อยได้ หรืออาจมีการสึกไม่เสมอกันหรือไม่ อาจมีความผิดปกติที่คลิปผ้าเบรกหรือลูกสูบมีการฉุดกระชาก
2.ตรวจสอบสภาพของซิมและจาระบี เพราะซิมอาจบิดผิดรูป ส่วนที่เคลือบและยางเสื่อมสภาพ เนื่องจากส่วนที่เป็นยางมักจะแข็งตัวและหลุดออกเมื่อถูกความร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางในบริเวณที่ถูกลูกสูบกด มักจะหลุดหรือบิดผิดรูปได้ นอกจากนี้ หากบริเวณเขี้ยวอยู่ที่ผ้าเบรกผิดรูป จะทำให้ซิมไม่อยู่ในสภาพเหมาะสม ด้านหลังผ้าเบรกทาจาระบีไว้อย่างพอเหมาะหรือไม่ เพราะจาระบีจะหลุดง่ายเมื่อโดนความร้อน เศษโคลน หรือน้ำ
3.ตรวจสอบผิวหน้าของจานเบรก สังเกตว่าผิวหน้าเปลี่ยนสีออกเป็นสีดำและเป็นมันเงาหรือไม่ เพราะความร้อนทำให้ผิวหน้าเกิดรอยไหม้ นอกจากนี้ ผงสร้างแรงเสียดทานในผ้าเบรกอาจติดอยู่ที่ผิวจานเบรกได้ มีรอยลักษณะเหมือนจานแผ่นเสียงที่ผิวหน้าหรือไม่ เป็นรอยเกิดจากการเสียดสีกับผ้าเบรก สีที่เปลี่ยนไปและรอยที่เกิดขึ้นจะทำให้ระบบการสั่นของผ้าเบรกขณะหยุดรถเปลี่ยนไป ก่อให้เกิดเสียงเบรกได้
4.ตรวจสอบก้ามปู สังเกตว่าบิดผิดรูปหรือไม่ เป็นเรื่องเกิดไม่บ่อยนัก แต่หากถูกกระทบแรงมากๆ ในระยะเวลาหนึ่ง หรือรถเกิดอุบัติเหตุ ตัวก้ามปูจะผิดรูปเล็กน้อย ชิ้นส่วนที่เป็นยางเสื่อมสภาพหรือไม่ หากชิ้นส่วนเป็นยางผิดปกติ จะทำให้ลูกสูบและส่วนที่สไลด์ทำงานไม่ปกติ มีอาการกระชาก เป็นต้น คลิปที่ยึดผ้าเบรกด้วยแรงที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอาการเอียงหรือสั่นเล็กน้อยได้
ส่วนเสียงเสียดสีหรือเหมือนกับการขูดของโลหะ หรือการเสียดสีของวัตถุสองชิ้น อาจเกิดความร้อนและเกิดเสียงดัง มาจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่
1.เสียงดังขณะเบรก ผ้าเบรกอาจมีส่วนผสมของโลหะมากเกินไป ควรเปลี่ยนใช้ผ้าเบรกที่มีส่วนผสมโลหะต่ำ
2.เสียงดังความถี่สูง เช่น อี๊ดๆ ขณะเบรก ผ้าเบรกอาจสึกหรอมาก (ความหนาน้อยกว่า 4 มม.) ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันที
3.เสียงความถี่สูงสลับกับเสียงความถี่ต่ำ จานเบรกอาจเสียดสีกับคาลิปเปอร์ ควรตรวจดูการยึดการติดตั้งของคาลิปเปอร์ ความแน่นของสลัก การปรับให้ทาจาระบี และปรับแบริ่งล้อใหม่ให้เหมาะสม
4.เสียงดังความถี่สูง เสียงเสียดสีความถี่สูง แบริ่งล้มหลวม สลักยึดคาลิปเปอร์ยาวเกินไป ควรปรับเปลี่ยนสลักยึดให้ยาวพอดีและเหมาะสม
http://auto.sanook.com/52027/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host