"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่

ปฏิรูปพลังงาน จะเอาน้ำมัน ยูโร 2 หรือ ยูโร 4 ดี?

ประเทศไทยนั้น มีการบังคับใช้น้ำมันยูโร 4 เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 จากมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 ธันวาคม 2549 ที่มีมาตรการส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันยูโร 4 เนื่องจากประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีประชากรและการจราจรที่หนาแน่นนั้น มีปัญหาเรื่องคุณภาพของอากาศอย่างหนัก เช่น มีมลพิษฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน, สารกำมะถันและก๊าซโอโซนเกินกว่ามาตรฐานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน  จากการประเมินคุณภาพอากาศในเขตควบคุมมลพิษพบว่า การใช้น้ำมันยูโร 4 สามารถลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ถึง 220 ตันต่อปี ลดการปลดปล่อยฝุ่นละอองได้ถึง 1,732 ตันต่อปี ลดการระบายสารเบนซีนลง 9 ตันต่อปี และลดการระบายสาร 1,3-บิวทาไดอีน 4.1 ตันต่อปี (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
นอกเหนือจากการพัฒนาคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นมาตรฐานยูโร 4 ซึ่งทำให้เครื่องยนต์สามารถเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นแล้ว ก็ต้องมีการพัฒนามาตรฐานของเครื่องยนต์และระบบการควบคุมการปลดปล่อยมลพิษของรถยนต์เช่นเดียวกัน รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ตามมาตรฐานยูโร 4 นั้นมีการติดตั้งระบบ OBD (On Board Diagnostics) ที่เป็นแผงวงจรคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์รวมถึงการวิเคราะห์ปริมาณการปล่อยมลพิษของไอเสียโดยทำงานร่วมกับ ECU (Electric Control Unit) ที่รวบรวมข้อมูลเซนเซอร์ในหลายๆ จุดและควบคุมการฉีดเชื้อเพลิงให้สมดุล รวมถึงทำงานร่วมกับ Catalytic Convertor เพื่อจัดการมลพิษให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 4 อีกด้วย ถ้าจะให้เปลี่ยนกลับไปใช้น้ำมันยูโร 2 รถยนต์เหล่านี้ก็จะมีปัญหาทันทีเพราะน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้มาตรฐาน

สำหรับประเทศเพื่อนบ้าน แม้วันนี้หลายๆ ประเทศยังคงใช้น้ำมันยูโร 2 หรือยูโร 3 กันอยู่ เพราะเขามีการจราจรที่ไม่หนาแน่น ปริมาณมลพิษยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ รวมถึงยังไม่ได้มีการกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษที่จริงจังและยังไม่ได้บังคับใช้รถยนต์ที่มีไอเสียมาตรฐานยูโร 4 อีกด้วย แต่ในอนาคตประเทศเพื่อนบ้านเราหลายๆ ประเทศก็จะพัฒนาคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเป็น ยูโร 4 และ ยูโร 5 เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ ที่เพิ่งเริ่มใช้น้ำมันเบนซินยูโร 4 และน้ำมันดีเซลยูโร 5 ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศเวียดนามก็มีแผนจะใช้น้ำมันยูโร 4 ภายในปี 2559 และเป็นยูโร 5 ในปี 2564 และประเทศมาเลเซียตั้งเป้าจะใช้น้ำมันยูโร 4 ทั่วประเทศในปี 2558 สำหรับประเทศไทยตอนนี้ก็ได้มีการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงบางชนิดเป็นยูโร 5 ไปบ้างแล้วเช่น แก๊สโซฮอล์ E20 ของบางจาก และ ดีเซลพรีเมียม ของ ปตท.
หากมองไปทั่วโลกจะพบว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ประเทศกลุ่มยุโรปและสแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ตอนนี้กำลังจะไปไกลกว่ายูโร 5 แล้วด้วยซ้ำ
ส่วนผลกระทบของผู้ที่ใช้รถยนต์ก็ต้องยอมรับว่าการผลิตน้ำมันยูโร 4 ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 50 สตางค์ที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าใช้จ่ายจากการที่ผู้ประกอบการได้ลงทุนปรับปรุงคุณภาพโรงกลั่นน้ำมันไปแล้ว แต่ก็คุ้มค่ากับการแลกมาซึ่งสภาพอากาศที่ดีขึ้นและสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นของส่วนรวม เพื่อให้พวกเราและลูกหลานได้สูดอากาศหายใจได้เต็มปอด ลดอัตราการเจ็บป่วยทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง ฯลฯ ซึ่งจากการประเมินพบว่า น้ำมันยูโร 4 สามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพของประชาชนสูงถึง 56,700 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
จะเห็นได้ว่าวันนี้เราแทบจะไม่เห็นควันดำและสภาพอากาศก็ดีขึ้นมากโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ดังนั้น ผมมองว่าเราควรเดินหน้าพัฒนาคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยไปเป็นยูโร 5 หรือมากกว่านั้น แทนที่จะถอยหลังกลับไปใช้น้ำมันยูโร 2 ตามข้อเสนอของบางกลุ่มที่จะให้ยกเลิกข้อบังคับมาตรฐานยูโร 4 เพื่อเปิดทางให้มีการนำเข้าน้ำมันยูโร 2 มาขายแข่งขันกับโรงกลั่นน้ำมันในประเทศในราคาที่ต่ำกว่าตามคุณภาพ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีและไม่คุ้มค่าในระยะยาวเพราะจะส่งผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนไทยโดยรวม รวมถึงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศอีกด้วย
ที่มาข้อมูล: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน คอลัมน์ "พลังงานเพื่อความยั่งยืน"

Install by khemtat-l[at]hotmail.com

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host