"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่


  เมื่อเราใช้แบตเตอรี่ไปได้สัก 1 ปีครึ่ง หรือ 2 ปี แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ
หากสังเกตดีๆ เมื่อแบตเตอรี่ใกล้เสื่อมสภาพจะมีสัญญาณเตือนดังนี้
1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก
2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปรกติ
เมื่อมีสัญญาณเตือนดังนี้ ก็เข้าร้านที่ไว้ใจได้ เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลยครับ

Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  สาระน่ารู้เรื่องแบตเตอรี่รถยนต์ 
1. การจัดแบตฯขึ้นรถต้องพิจารณาจากขนาดของเครื่องยนต์เป็นลำดับแรก เพราะผู้ผลิตออกแบบมารองรับรถแต่ละรุ่นโดยเฉพาะอยู่แล้วเพียงแต่เลือกใช้ให้เหมาะสมเ่ท่านั้นเองครับ เช่น รถกระบะเครื่อง 3.0 CC. ก็ต้องใช้ 19 แผ่น 710 CCA. เครื่อง 2.8 ก็ต้องใช้ 17 แผ่น 622 CCA. เป็นต้น. หลักมีอยู่ว่า ต้องตรงรุ่น ถ้าเครื่องเล็กใช้มากกว่าได้แต่ไม่ควรใช้น้อยกว่าเพราะจะเสียเงินเร็วขึ้น หรือใช้แบตฯได้ไม่ถึง 2 ปี 
ค่า CCA. หรือ Cooling Clanking Ahmpare สำคัญกว่าแอมป์ แอมป์คือปริมาณไฟสำรอง แต่ CCA. คือกำลังหรือแรงสตาร์ท หน้าที่ของแบตฯ คือสตาร์ทรถ หลังสตาร์ทเสร็จไดชาร์จจะทำงานต่อ ดังนั้น แรงบิดสตาร์ทหรือ CCA. จึงควรพิจารณาเป็นลำดับแรกร่วมกับขนาดของเครื่องยนต์ครับ จึงควรเลือกแบตฯที่มีค่า CCA. สูง ๆ ไว้ก่อน... 
3.รถบางรุ่นไดสตาร์ทหนักกว่ารถยี่ห้ออี่นในรุ่นเดียวกันก็ต้องใช้แบตฯที่มีกำลังมากกว่า เช่น ไมตี้ X และ L-200 cyclone ใช้แบตฯ 15 แผ่นของเครื่อง 2.5 ทั้ว ๆ ไปไม่พอ ต้องใช้ 17 แผ่นของเครื่อง 2.8 หรือ 19 แผ่นของเครื่อง 3.0 ไปเลยเป็นต้น. 
4. บางครั้งการสตาร์ทไม่ติดอาจไม่เกี่ยวกับแบตฯ ก็ได้ เช่นอาจมีไฟรั่ว หรือ ไดชาร์จบกพร่องก็เป็นได้ ซึ่งต้องไล่ดูว่าสาเหตุเพราะอะไรแน่ การโทษแบตฯอย่างเดียวดูจะไม่ค่อยยุติธรรมนัก...(ปกติทางร้านจะตรวจเช็คให้อยู่แล้วครับ) 
5. รถบางรุ่นการเปลี่ยนแบตฯ จำเป็นต้องเลี้ยงไฟไว้ด้วย เพราะอาจมีกล่อง ECU หรือกล่องควบคุมระบบเครื่องยนต์ โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ๆ และรถหรู ๆ ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษ ฉะนั้นเจ้าของรถควรแจ้งให้ทางร้านทราบด้วย หากไม่แน่ใจเลี้ยงไฟไว้ก่อนปลอดภัยกว่าครับ... 


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  คำถามที่พบบ่อย!!! 
- ทำไมเดี๋ยวนี้แบตฯใช้ได้ปีเดียวเอง / อาจเป็นเพราะใช้แบตฯปิดรุ่นหรือไม่เหมาะกับขนาดของเครื่องยนต์ ปกติมาตฐานผู้ผลิดออกแบบมาให้ใช้ได้ 2 ปี หรือ 4 หมื่นกิโลเมตร ยกเว้นรถที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ (แท็กซี่-รถโดยสารที่ใช้งานหนัก)อายุงานก็จะสั้นลง อาจเหลือแค่ปีเดียวครับ 
- แบตฯเพิ่งซื้อได้ไม่ถึงเดือน ทำไมแบตฯหมดหรือสตาร์ทไม่ได้ / อาจเนื่องจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับแบตฯ เช่น ไดไม่ชาร์ต, ไฟรั่ว, หรือบกพร่องที่ตัวไดสตาร์ทเองก็เป็นได้ 
- คว่ำแบตฯ แล้ว ควรเติมน้ำกรดหรือน้ำกลั่น แล้วจะใช้งานได้อีกนานจริงหรือไม่ / ไม่ควรคว่ำแบตฯทุกกรณี เพียงแต่ชาร์จให้นานพอจนกระทั้งน้ำกรดลอยได้ถพ.1580 อาจต้องใช้เวลา 6 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นก็ได้ การคว่ำแบตทำให้ค่าของกรดเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้แบตฯ เสื่อมเร็ว กรณีแบตฯที่หมดสภาพแล้ว (แผ่นแตก,แผ่นเลื่อน ฯลฯ) ก็ต้องทำใจครับ เพราะถ้าคว่ำแล้วนำกลับมาใช้ได้อีกจริง ๆ ของใหม่คงขายไม่ได้ แต่นี่ของใหม่ก็ขายกันโครม ๆ 
- แบตฯ น้ำหรือแห้งดีกว่า ขึ้นกับลักษณะการใช้งานครับ กรณีรถใช้งานหนักเช่นแท็กซี่ ไม่ควรใช้แบตแห้ง ควรใช้แบตฯ น้ำ เพราะเติมน้ำได้เมื่อระดับน้ำลดลง แบตแห้ง(ข้างในมีน้ำทุกลูก)ถ้าน้ำแห้งเติมน้ำไม่ได้เพราะไม่มีช่องเติมน้ำ น้ำแห้งก็จบครับ เสียเงินอีกแล้ว 


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  แบตเตอรี่รถยนต์นั้นมีอายุงานใช้ได้เพียง 2 ปีครับโดยประมาณนี้ แต่มันอาจมี บวก / ลบ บ้างขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งมีปัจจัยจากความร้อนมากที่สุดที่จะเห็นผลได้ชัดเจนครับ วิ่งมากวิ่งน้อยก็มีส่วนครับ แต่โดยรวมค่าเฉลี่ยมันจะประมาณนี้ละครับ 2 ปี ก็ควรจะเปลี่ยนได้แล้วเพื่อความสะดวกสบายเวลาใช้งานทุกเมื่อไม่ต้องมานั่งลุ้นให้กังวลใจเล่นครับแบตเตอรี่รถยนต์นั้นมีอายุงานใช้ได้เพียง 2 ปีครับโดยประมาณนี้ แต่มันอาจมี บวก / ลบ บ้างขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งมีปัจจัยจากความร้อนมากที่สุดที่จะเห็นผลได้ชัดเจนครับ วิ่งมากวิ่งน้อยก็มีส่วนครับ แต่โดยรวมค่าเฉลี่ยมันจะประมาณนี้ละครับ 2 ปี ก็ควรจะเปลี่ยนได้แล้วเพื่อความสะดวกสบายเวลาใช้งานทุกเมื่อไม่ต้องมานั่งลุ้นให้กังวลใจเล่นครับ


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  รถยนต์แต่ละประเภทใช้งานแตกต่างกันควรใช้แบตเตอรี่แบบไหนกันแน่

1. หากคุณเป็นคนที่ชอบทิ้งรถไว้แล้วบินไปต่างประเทศบ่อยๆ(1เดือนสตาร์ทหน)แนะนำให้เลือกใช้แบตเตอรี่ประเภทแห้งครับเหตุผลเพราะในแบตเตอรี่แห้งจะมีค่า CCA ที่สูงกว่าในปริมาณแบตเตอรี่ชนิดน้ำที่ปริมาณกระแสแอมป์เท่ากันอย่างเช่นแบตเตอรี่45แอมป์แบบน้ำจะมีค่าCCA ที่320 ในขณะที่แบตแห้ง45แอมป์จะมีค่า CCAที่450 ตามนี้ครับจึงสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าและอยู่ได้อึดทนนานกว่าครับ

2. หากคุณใช้งานแบบเชิงพาณิชย์(วิ่งทุกวันวันละเป็นร้อยกิโล) แนะนำแบตเตอรี่น้ำครับเนื่องจากตะกั่วพลวงในแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นนั้นมีความทนทานแต่กินน้ำกลั่นไปหนอยนั้นจึงเป็นเหตุที่ต้องมีรูระบายไอความร้อนเพราะแบตเตอรี่แห้งไม่มีรูระบายไอความร้อนที่เหมือนแบตนน้ำเวลาวิ่งนานๆจะเกิดความร้อนสะสมแบตแห้งจะบวมง่ายมากครับแต่แบตน้ำเมื่อวิ่งนานๆจะระบายความร้อนได้ดีแต่ต้องแลกกับการคอยเช็คระดับน้ำกลั่นที่บ่อยกว่าแต่มันก็ถูกแบบมาเพื่อใช้งานเชิงพาณฺชย์อย่างแท้จริงครับและราคาถูกด้วย

3. หากคุณใช้งานรถยนต์แบบที่ทั่วไป(สตาร์จเช้าไปทำงานเย็นกลับบ้านวิ่งแค่วันละไม่เกิน3-4ชั่วโมง)แบบนี้จะมีบ่อยมากครับใช้ได้ทั้ง2แบตทั้งน้ำและแห้งขึ้นอยู่กับผู้ใช้หากชอบดูแลรถเองอยู่แล้วก็จะนิยมแบตน้ำกันครับราคาถูกกว่าดีด้วยแต่หากยุ่งๆไม่ค่อยว่างดูแลรถยนต์ใช้แบบแห้งก็ได้ครับสะดวกสบายดีแต่จะยังไงก็ตามแต่คนเรามักจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้ในรถแน่นอนจะทำให้แบตหมดและอายุสั้นลงด้วยทางที่ดีควรตรวจเช็คให้เรียบร้อยก่อนออกจากรถนะครับ


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  แบตเตอรี่
        ทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานหลักในกรณีที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน เป็นแหล่งจ่ายพลังงานสำรองในกรณีที่เครื่องยนต์ทำงานแล้ว การเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ขณะเครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานเป็นการทำร้ายแบตเตอรี่อย่างหนึ่ง เพราะโดยปกติเมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ทั้งหมดจะใช้ไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เท่านั้น แต่ถ้าประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์)ลดลง รถยนต์จะใช้ไฟจากแบตเตอรี่แทนเพราะไดชาร์จไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้พอ เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จะมีอายุสั้น หรือยาว จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ด้วย
ปัจจุบันแบตเตอรี่ที่มีขายในประเทศไทยมีอยู่ 3 ประเภท

1.แบตเตอรี่ชนิดน้ำ คือ แบตเตอรี่ที่ต้องมีการเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ เนื่องจากมีการระเหยตัวของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่สูง แบตเตอรี่ชนิดน้ำต้องการ การบำรุงรักษาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์
2.แบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อย(Low maintenance) คือ แบตเตอรี่ที่ยังต้องมีการเติมน้ำกลั่นแต่ไม่บ่อยเท่ากับ "แบตเตอรี่ชนิดน้ำ" เพราะแบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อยมีการระเหยตัวของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ต่ำจึงไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อย แบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อยต้องการ การบำรุงรักษาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 3 เดือน
3.แบตเตอรี่ชนิดไม่ต้องบำรุงรักษา(Maintenance free) หรือที่คนทั่วไปเข้าใจผิดว่ามันคือ"แบตแห้ง" จริงๆแบตเตอรี่ชนิดนี้ยังไม่ใช่แบตแห้งอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน แต่ที่คนเข้าใจผิดกันก็เพราะว่าแบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่มีรูให้เติมน้ำกลั่น เป็นแบตเตอรี่ที่ปิดสนิท คนเลยเข้าใจกันว่าแบตเตอรี่ชนิดนี้เป็นแบตเตอรี่แห้ง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะแบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อยมีการระเหยของน้ำกลั่นที่ต่ำมาก ทำให้ตลอดอายุการใช้งานจึงไม่ต้องมีการเติมน้ำกลั่น หมดปัญหาเรื่องการบำรุงรักษา และปัญหาน้ำกรดในแบตเตอรี่ล้นออกมากัดสี และตัวถังรถยนต์ เนื่องจากเติมน้ำกลั่นมากเกิน


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  สาเหตุที่รถดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ขณะเครื่องยนต์ทำงานแล้วมีอยู่ 2 กรณีคือ
        1. มีการเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าไปภายในรถมากเกินกว่ากำลังไฟที่ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) จะสามารถผลิตได้ เช่น ติดตั้งเครื่องเสียงเพิ่ม, ติดชุดไฟเพิ่ม
        โดยปกติรถแต่ละรุ่นจะมีความต้องการไฟฟ้า หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่เท่ากัน(คิดที่กรณีรถใหม่ออกจากโรงงาน) ซึ่งทางผู้ผลิตรถแต่ละรุ่นจะเลือกขนาดของไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) มาให้เหมาะสมกับความต้องการไฟของรถแต่ละรุ่น แต่เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ติดตั้งชุดเครื่องเสียงเพิ่ม, ติดตั้งชุดไฟเพิ่ม ส่งผลทำให้ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้พอกับความต้องการ ทำให้ต้องมีการดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ และหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง

        2. ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เริ่มเสื่อม หรือไดอ่อน ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) เสื่อม แต่ยังไม่เสียมันเลยไม่มีไฟแจ้งเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ แต่สามารถตรวจสอบได้ 
        แรงดันไฟที่ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) รถยนต์สามารถสร้างขึ้นได้จะอยู่ที่ประมาณ 13.9V – 14.5V แต่จะมีบางกรณีที่ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ไม่สามารถสร้างแรงดันไฟได้ถึง 13.9V – 14.5V เราเรียกกรณีนี้ว่าอาการ "ไดชาร์จอ่อน" ซึ่งเวลาตรวจสอบว่ารถมีอาการไดชาร์จอ่อนก็คือ สตาร์ทเครื่องแล้วเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหลัก คือ แอร์ และไฟหน้าค้างไว้ เอาดิจิตอลมิเตอร์ปรับเป็น DC โวลต์ วัดคร่อมระหว่างขั้วบวก และขั้วลบของแบตเตอรี่ค่าแรงดันไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ที่ได้ควรอยู่ระหว่าง 13.9V – 14.5V ถ้าต่ำกว่านี้แสดงว่าประสิทธิภาพการผลิตไฟของไดชาร์จ(อัลเทอร์เน-เตอร์) เริ่มลดลง และถ้าแรงดันไฟจากไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ต่ำกว่า 13.5V แสดงว่ามีอาการไดชาร์จอ่อนจะส่งผลให้ไดชาร์จ(อัลเทอร์เนเตอร์) ไม่สามารถผลิตกระแสไฟได้เพียงพอต่อความต้องการของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในรถ ทำให้ต้องมีการดึงไฟจากแบตเตอรี่ไปใช้ส่งผลให้แบตเตอรี่อยู่ในสภาวะคายไฟ สาเหตุนี้เป็นสาเหตุใหญ่และสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกตินั่นเอง


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  ข้อสังเกตเมื่อแบตเตอรี่เสื่อม

1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก 
2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง 
3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง 
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติ


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  แบตเตอรี่รถยนต์ ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่าง ด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุเครื่องเสียง เป็นต้น

นั่น หมายความว่าแบตเตอรี่รถยนต์จะหมดได้ก็มีอยู่เพียง 2 กรณี นั่นก็คือ

1.เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน

2.ไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ หรือ บกพร่อง ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยมากไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ไม่สามารถประจุไฟเข้าไปได้เลย


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP



  ร้านแสงเจริญแบตเตอรี่ บางแค T.02-421-5760,02-806-1138 (https://www.facebook.com/saengcharoenbattery)  รับบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ รถยนต์ทุกประเภท ทั้ง รถเก๋ง รถกระบะ รถหกล้อ รถสิบล้อ เรามีแบตเตอรี่หลากหลายยี่ห้อให้ทั้งเลือกสรร เช่น แบตเตอรี่ยี่ห้อ GS 3K  Boliden เป็นต้น


Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host