HondaCityClub's Archiver




Image Hosted by CompGamer Image Host

Image Hosted by CompGamer Image Host   Image Hosted by CompGamer Image Host

d-credit กระทู้เมื่อ 4/7/2012 18:29

สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้

[i=s] แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/3/2019 09:24 โดย d-credit [/i]

[i=s] แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/10/2018 13:49 โดย d-credit [/i]

[i=s] แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17/7/2018 13:08 โดย d-credit [/i]

สินเชื่อรถแลกเงิน ฟรีค่าจัด รถไม่ต้องจอด ปิดเล่มพร้อมรับส่วนลดดอกเบี้ย 50%
รับรถบ้าน เก๋ง กระบะ รถตู้ รถบรรทุก รวมถึงรถตู้ป้ายเหลือง
สำหรับสินเชื่อรถยนต์ให้วงเงินสูง

คุณสมบัติของผู้สมัคร

  - สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน
  - ผ่อนนาน 12-72 เดือน
  - อายุ 20- 60 ปี
  - สัญชาติไทย

เอกสาร
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
4. สลิบเงินเดือน(เดือนล่าสุด)หรือ หนังสือรับรองเงินเดือนก็ได้
5. สำเนาทะเบียนรถ
6. แผนที่บ้าน และ ที่ทำงาน

เอกสารครบ รู้ผลเลย รับเงิน ภายใน 3-7 วันทำการ

สนใจสมัคร คลิกที่นี่

[url]https://www.d-credit.com[/url]

LINE ID : d-credit
0832996658

d-credit กระทู้เมื่อ 9/7/2012 16:26

เปลี่ยนเลน-แซง-ขึ้นทางตรงได้แล้ว ควรเร่งความเร็วเพิ่ม
      
       การเลี้ยวขึ้นทางตรงจากซอยหรือทางโท รวมถึงการเปลี่ยนเลน ควรกระทำเมื่อเส้นทางว่างพอ เมื่อเปลี่ยนเข้าสู่เลนที่ต้องการได้แล้ว
บางคนไม่สนใจมารยาทต่อผู้ขับรถยนต์คันที่ตามมา เพราะคิดแต่เพียงว่า ถ้าถูกชนด้านท้ายแล้วจะไม่ผิด เนื่องจากเข้าสู่เส้นทางได้เต็มคันแล้ว
ด้านมารยาท เมื่อเข้าสู่เส้นทางได้เต็มคันแล้ว ควรเร่งความเร็วมาก ๆ กดคันเร่งหนัก ๆ เพื่อไล่รถยนต์คันหน้าในระยะที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด
โดยไม่ต้องสนใจว่า รถยนต์คันหลังห่างแค่ไหน เพื่อมารยาท ผู้ขับรถยนต์คันหลังจะได้ไม่ต้องเบรกจนตัวโก่ง
และไม่เสี่ยงต่อการเสียโฉมของบั้นท้ายรถยนต์ของตนเองด้วย
      
       ไฟเหลือง ควรเร่งหนีหรือเบรก ?
      
       หลักการที่ถูกต้องและเป็นสากลแต่ไม่ค่อยมีปฏิบัติกัน คือ ต้องเบรกและจอดเมื่อเห็นไฟเหลืองก่อนไฟแดง
ผู้ขับรถยนต์ไทยส่วนใหญ่ เมื่อเห็นไฟเหลือง กลับกลายเป็นไฟเตือนให้เร่งหนีการติดไฟแดง ซึ่งไม่ถูกต้องนักเพราะ
การที่ไฟเหลืองสว่างขึ้นก่อนจังหวะไฟแดงตามหลักการจริงเป็นการเตือนเพื่อให้ชะลอความเร็วลงและจอด
และควรเหลือบมองกระจกหลังไว้หน่อย เพื่อจะได้ตัดสินใจกดแป้นเบรกด้วยน้ำหนักและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อมารยาท
ผู้ขับรถยนต์คันหลังไม่ต้องเบรกจนตัวโก่งและไม่เสี่ยงต่อการเสียโฉมของบั้นท้าย รถยนต์ของตน

d-credit กระทู้เมื่อ 16/7/2012 11:27

ไฟเลี้ยว ต้องเปิด-ปิดอย่างเหมาะสม
      
       ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ถูกมองข้าม การเปิดไฟเลี้ยวเป็นเรื่องจำเป็น เพราะกฎหมายกำหนดให้มีการเตือน
ผู้ร่วมทางล่วงหน้าตามระยะที่เหมาะสม จึงควรเปิดไฟเลี้ยวเมื่อเตรียมเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวล่วงหน้าพอสมควร
และไม่ควรเปิดค้างจนลืม
      
       ชิดซ้ายเสมอ
      
       บนถนนหลายเลนมักมีการเตือนวา "ขับช้า ชิดซ้าย" ซึ่งไม่ค่อยตรงกับหลักการขับปลอดภัย
และมารยาทในการใช้ถนนเพราะจะมีรถยนต์แล่นเลนขวาตลอด โดยคิดว่าความเร็วที่ใช้ในขณะนั้นถือว่าเร็วแล้ว
ซึ่งอาจเป็นเพราะกฎหมายไทยกำหนดให้ใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อใช้ความเร็วเกินขึ้นไปแล้ว ก็มักจะคิดไปเองว่า เร็วพออยู่แล้ว จึงสามารถแล่นชิดขวาได้

d-credit กระทู้เมื่อ 23/7/2012 17:35

“จัมพ์แบต”เรื่องง่ายๆที่ทำ(ไม่)ยาก

ขั้นตอนที่ 1 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ

       เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

d-credit กระทู้เมื่อ 30/7/2012 16:12

ขั้นตอนที่ 2 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่รถที่มีไฟ

       นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด
ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ “GS แบตเตอรี่” ให้คำแนะนำว่าปัญหาของแบตเตอรี่
หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสายต่อไดชาร์จหลวม น้ำกลั่นหมด แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
หรือกำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ
เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่
และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง

d-credit กระทู้เมื่อ 5/8/2012 12:33

ขั้นตอนที่ 3 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ที่มีไฟ

       “การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่
มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว
ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่
จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”
      
       **วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
      
       เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถ
และขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+)
ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+)
ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-)
ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อแน่นหนา

d-credit กระทู้เมื่อ 10/8/2012 12:25

ขั้นตอนที่ 4 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ

       ต่อจากนั้นนำสายหัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์
หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด
จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที
แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า
หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด
จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที
เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่
ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
      
       จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด
และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+)
จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ
ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

d-credit กระทู้เมื่อ 16/8/2012 17:48

ขั้นตอนที่ 5 สตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มจากรถที่แบตเตอรี่มีไฟก่อน

       **ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**
      
       - ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
       - เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน
เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
       - ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ
โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
       - ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์
หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้
เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
       - ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่
หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่
ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม
สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน

d-credit กระทู้เมื่อ 21/8/2012 16:53

ขับรถเที่ยว...สนุกอย่างเดียวไม่พอ

เมืองไทยนั้นถือว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอย่าง
ป่าเขา น้ำตก ทะเล อุทยานแห่งชาติ หรือแหล่งท่องเที่ยวตามโบราณสถานต่างๆ
เรียกได้ว่าเที่ยวกันทั้งปียังไม่หมด และสิ่งสำคัญในการที่เราจะไปให้ถึงจุดหมายนั้นก็คือ
การเดินทางที่มีหลายวิธี ที่นิยมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "การขับรถเที่ยว"
เพราะเราสามารถแวะตามทางได้ตลอดทั้งถนนในเมืองไทยก็มีเยอะแยะให้เลือกไป
แต่ที่จะมาแนะนำในครั้งนี้ก็คือเรื่องของวิธีการขับรถเที่ยวที่ถูกต้องและปลอดภัยนั่นเอง

d-credit กระทู้เมื่อ 28/8/2012 17:01

เพื่อให้การเดินทางไกลไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลด้วยรถยนต์สวนตัวไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว
หรือกลับถิ่นฐานเดิมในต่างจังหวัด เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหารถเสียระหว่างการเดินทาง
หรืออาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ทั้งนี้คุณสามารถป้องกันได้กับการตรวจเช็คด้วยตัวเอง และไม่เสียเวลามากนักก่อนเดินทาง
จะช่วยให้มั่นใจในการขับขี่ หรือหากพบข้อบกพร่องก็สามารถแก้ไขก่อนเดินทาง
      
       ตรวจรถภายนอก
       - ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
       - ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง
       - รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
       - ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู
       - ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด

d-credit กระทู้เมื่อ 3/9/2012 19:34

ตรวจภายในรถ
       - ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ
       - เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถล็อคได้เรียบร้อย
       - แตร ให้แน่ใจว่าดังดี
       - แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
       - เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรกอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่
       - ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์
       ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า
       - ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
       - หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
       - สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
       - แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
       - ระดับน้ำมันเบรกและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรกและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
       - ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่ว หลุดหรือไม่

d-credit กระทู้เมื่อ 10/9/2012 12:22

**เตรียมข้อมูลให้พร้อม**
      
       นอกจากการตรวจดูรถให้พร้อมแล้วในการเดินทางท่องเที่ยวนั้นเรายังต้องมีอีกหลายอย่างประกอบไปด้วย
เพื่อให้วันหยุดของคุณเต็มไปด้วยความสนุกสนานและปลอดภัยมากที่สุด
      
       - ต้องตรวจสอบหาข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยว ว่าช่วงที่จะไปเป็นฤดูไหน เหมาะกับสถานที่ที่จะไปเที่ยวรึเปล่า
      
       - จัดเตรียมแผนที่ในการเดินทาง ยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันแสนจะแพง ถ้าจะไปไหนก็ควรสำรวจเส้นทางให้ดี จะได้ไม่หลง
ไม่ต้องขับรถเลยหรืออ้อมให้เปลืองน้ำมัน
      
       - จัดเตรียมสัมภาระการเดินทางให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น ไฟฉาย ยาสามัญประจำบ้านต่างๆ และของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น

d-credit กระทู้เมื่อ 17/9/2012 12:23

**ขับรถเที่ยวแบบปลอดภัย**
      
       หลังจากที่เราเตรียมความพร้อมของรถยนต์และข้อมูลในการเดินทางแล้ว ก็มาถึงเวลาที่ล้อหมุนได้เลย
ในระหว่างเดินทางเราก็ยังมีเทคนิคในการขับรถง่ายๆมาบอกกันอีกด้วย เพราะถนนใสต่างจังหวัดนั้นเรา
ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเจออุปสรรคใดๆบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
หรือถนนที่กำลังซ่อมแซม รวมถึงทัศนะวิสัยในการมอง
      
       - รัดเข็มขัดนิรภัยเสมอ การออกตัว การเร่ง การเบรก และการบังคับเลี้ยว จะต้องสัมพันธ์กัน
โดยค่อยๆ เหยียบคันเร่งเพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี เพราะการเร่งแรงและเพิ่มรอบของเครื่องยนต์เร็วเกินไป
อาจจะทำให้ล้อหมุนฟรีได้ หรืออาจเกิดการลื่นไถล เสียสมดุลของรถได้
      
       - เมื่อขึ้นและลงเขาให้ใช้เกียร์ต่ำเพื่อเพิ่มพลังเครื่องยนต์ และอาจช่วยชะลอความเร็วของรถ
ในขณะลงเขาร่วมกับการใช้เบรกอีกด้วย

d-credit กระทู้เมื่อ 27/9/2012 17:36

- การเบรกก็จะต้องเป็นไปอย่างนุ่มนวล โดยพยายามควบคุมความเร็ว ชะลอความเร็วก่อนถึงสิ่งกีดขวาง
เพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกอย่างกะทันหัน อันจะทำให้รถเสียหลัก
      
       - พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นทรายหรือโคลน หากจำเป็นต้องลุยผ่านให้ใช้เกียร์ต่ำ
และรักษารอบให้สม่ำเสมอ อย่าเร่งเครื่องเกินความจำเป็นเพราะอาจทำให้ล้อฟรีจมโคลนลึกจนยากแก่การแก้ไข
      
       - หากต้องปีนข้ามหินหรือสะพานไม้แคบที่มีเส้นทางเฉพาะ ควรมีคนลงไปทำหน้าที่บอกทาง
โดยคนบอกทางต้องมีคนเดียว คนขับต้องมองตรงไปข้างหน้าอย่าใช้วิธียื่นหัวออกมานอกตัวรถ
มองสัญญาณมือจากคนบอกทางและค่อยๆ ควบคุมรถไปตามนั้น
      
       - ในการขับข้ามลำธาร หากมองไม่เห็นพื้นดินใต้น้ำ หรือไม่ทราบระดับความลึก
ให้ลงมาใช้ไม้วัดระดับความลึกดูก่อน หากระดับน้ำสูงกว่าท่อกรองอากาศของเครื่องยนต์ไม่ควรขับลุยข้ามไป
เพราะเครื่องยนต์จะดับกลางน้ำได้ ขับข้ามน้ำช้าๆ ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สม่ำเสมอ

d-credit กระทู้เมื่อ 10/10/2012 18:41

- การขับรถผ่านเส้นทางที่มีก้อนหินหรือเนินดินขวาง พยายามขับให้ล้อปีนข้ามก้อนหินช้าๆ โดยใช้เกียร์ต่ำ
จะช่วยไม่ให้ช่วงล่างกระทบกระแทกหิน ควรหลีกเลี่ยงการขับคร่อมก้อนหิน เพราะอาจทำให้ช่วงล่างกระแทกกับก้อนหินเสียหายได้
      
       - หากไม่แน่ใจต่อเส้นทางข้างหน้า ให้หยุดรถ เดินลงมาสำรวจเส้นทางให้มั่นใจแล้วจึงขับต่อไป
      
       อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางก็คือความปลอดภัยและความไม่ประมาทขับรถอย่างมีสติ
เพียงเท่านี้การท่องเที่ยวของคุณก็จะสนุกอย่างไม่มีวันลืมเลย..............
      
       ข้อมูลจาก Goodyear และ ปตท.

d-credit กระทู้เมื่อ 19/10/2012 12:58

คาถา "โค้งอันตราย"

"เข้าให้ช้า ออกให้เร็ว" เป็นคาถาบทหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรยึดปฏิบัติเพื่อให้การขับขี่ยวดยานของท่านเป็นไป
อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้ง
      
       อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแก่นักขับรถอีกประการหนึ่งคือ การขับรถเข้าทางโค้ง
ถนนหนทางแทบทุกเส้นทางทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเราจะต้องมีทางโค้งเสมอ
แต่จะมากหรือน้อยนั้นเป็นเรื่องหนึ่งและทางโค้งเหล่านี้เอง ที่เปรียบเสมือนกับดักบรรดานักซิ่งที่ไม่มีกฎเกณฑ์
หรือไม่มีวิธีการขับรถเข้าโค้งที่ถูกต้อง จึงมีบ่อยครั้งที่พวกนี้มักเอาชีวิตไปทิ้งเสียในทางโค้งเหล่านั้น

d-credit กระทู้เมื่อ 30/10/2012 16:00

บางครั้งนอกจากชีวิตตนเอง ยังพ่วงชีวิตผู้โดยสารและผู้ใช้ถนนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ให้ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ทั้งนี้ไม่นับทรัพย์สินที่เสียหายไปในแต่ละครั้งอีกมากมาย เพราะราคารถยนต์ในปัจจุบันก็แพงแสนแพงอยู่แล้ว



       ถ้าอย่างนั้น นักขับรถควรจะปฏิบัติอย่างไร ? คำตอบก็คือ นักขับรถจำเป็นต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
เพื่อยึดปฏิบัติในการขับรถเข้าทางโค้ง และหากทำได้ถูกต้องแล้ว นักขับรถทุกท่านก็จะสามารถขับเข้าทางโค้งทุกแห่งในโลกเลยทีเดียว
คือ "เข้าให้ช้าและออกให้เร็ว" ซึ่งต้องท่องให้ขึ้นใจแล้วปฏิบัติดังนี้
      
       เข้าให้ช้า คือเมื่อผู้ขับรถมองเห็นทางโค้งข้างหน้า ต้องประเมินทันทีว่าโค้งที่เห็นนั้น
จะเข้าได้ด้วยความเร็วเท่าใด หากมีป้ายบังคับของกรมทางหลวงติดไว้ก่อนถึงทางโค้ง ก็ให้ปฏิบัติตามป้ายบังคับนั้น
เช่น มีป้ายเตือนให้ใช้ความเร็วเข้าโค้งข้างหน้าด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. ถ้าท่านขับรถบรรทุกไม่ว่าจะเป็นหกล้อ สิบล้อ หรือใหญ่กว่านั้นก็ให้ปฏิบัติตามป้าย
      
       แต่ถ้าหากว่ารถท่านเป็นรถปิกอัพหรือรถเก๋ง ท่านอาจจะเพิ่มความเร็วได้อีก 50% หมายความว่าถ้าหากมีป้ายเตือนให้เข้าโค้งที่มีความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม.
ดังตัวอย่างก็ให้ท่านปฎิบัติดังนี้

d-credit กระทู้เมื่อ 5/11/2012 18:49

สมมติว่าท่านขับมาด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. ให้แตะเบรกลดความเร็วให้เหลือ 60 กม./ชม.
นั่นคือเพิ่มเข้าไปอีก 50% ของป้ายบังคับ แล้วเปลี่ยนเกียร์ต่ำลงมารับที่ความเร็ว 60 กม./ชม.
ซึ่งในที่นี้เกียร์ที่เหมาะสมที่สุดคือเกียร์สาม ทั้งนี้ต้องทำให้เสร็จสิ้นเสียก่อนเข้าโค้ง
       เมื่อเปลีี่ยนเกียร์และวัดความเร็วได้ถูกต้องตามทฤษฎีแล้ว ให้ยกเท้าซ้ายออกจากแป้นคลัตช์
และใช้แค่เท้าขวาเหยียบแป้นคันเร่งเท่านั้น ล็อกความเร็วให้คงอยู่ที่ 60 กม./ชม.
และหมุนพวงมาลัยรถให้เข้าตามโค้งไปอย่างราบเรียบ อย่าให้รถเหวี่ยงไปมาเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้รถลื่นไถลออกจากโค้งได้
      
       ข้อควรปฎิบัิตปลีกย่อยอื่นๆ ที่จำเป็นในการขับรถทางโค้ง ก็มีอาทิ อย่าเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในโค้ง
เพราะเมื่อถึงปลายโค้ง ความเร็วจะเกินพิกัดที่กะเอาไว้รถอาจหลุดโค้งได้  
อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะอยู่ในโค้ง อย่าเหยียบคลัตช์ อย่าถอนคันเร่งและเหยียบเบรกแรง
เพราะล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้รถหลุดโค้งทั้งสิ้น

d-credit กระทู้เมื่อ 13/11/2012 16:31

ออกให้เร็ว
คือ เมื่อรถเข้าโค้งจนแล่นสู่ทางตรงเรียบร้อยแล้ว ให้เร่งความเร็วขึ้นโดยทันทีแล้วเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น
รถก็จะพุ่งออกจากโค้งด้วยความเร็วและมั่นคง
      
       หากนักขับรถทุกท่านขับรถเข้าโค้งได้ดังนี้ ไม่ว่าจะเข้าโค้งซักร้อยโค้งหรือพันโค้ง
ก็ย่อมผ่านเข้าและจะออกจากโค้งทุกโค้งด้วยความปลอดภัยแน่นอน พึงระลึกไว้เสมอว่าหากท่านเข้าโค้งด้วยความเร็วแล้ว
ส่วนมากจะไม่ค่อยได้ออกจากโค้ง ซึ่งอย่างหลังนี้คงไม่เป็นที่ปรารถนาของนักขับรถสักเท่าไหร่
      
       หากต้องขับรถผ่านเข้าทางโค้งในคราวหน้า อย่าลืมลองปฏิบัติ ตามข้อเตือนใจ "เข้าให้ช้า ออกให้เร็ว"

d-credit กระทู้เมื่อ 18/11/2012 16:28

เคล็ดลับขับรถปลอดภัยหน้าฝน

หน้าฝนมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวในช่วงนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะอาจจะมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในฤดูอื่นๆ ไม่ว่าคุณจะต้องสัญจรในเมืองหรือวางแผนเดินทางไปเที่ยวไกลๆ ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ การขับรถบนถนนที่เปียกลื่นไม่ใช่เรื่องง่าย

จึงขอนำเคล็ดลับที่น่าสนใจมาฝากกัน เพื่อช่วยให้คุณเดินทางไปถึงจุดหมายและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนนี้

- ตรวจสอบรถอย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง เบรก พวงมาลัย ระดับของเหลวต่างๆ ปริมาณลมยาง และระบบไล่ฝ้าควรได้รับการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับการเดินทางที่อาจต้องพบกับฝนที่ตกหนักระหว่างทาง

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10

Powered by Discuz! Archiver 7.2  © 2001-2009 Comsenz Inc.
Translated Thai by Jaideejung007(Thzaa.com)